Thursday, April 2, 2009

ลำดับ๕๒๓.แหกคุกโพนเค็งบันลือโลก(จบ)

บทที่ ๑๑ สู่อิสรภาพ

เมื่อทุกคนมาพร้อมเพรียงกันแล้ว ทั้งคณะก็พากันหลบหนีการตามล่า โดยเคลื่อนไปยังป่าดิบดงหนาทึบแถบห้วยน้ำร่องแชง ท่ามกลางสายฝนและลมแรง

ระหว่างทางกลางทุ่งมุ่งไปบ้านหนองแต้ เจ้าสุภานุวงศ์ได้ล้มลงโดยปุปปับ ทั้งนี้เพราะท่านได้พกเอกสารที่ท่านได้เขียนบันทึกไว้ในระยะเวลากว่า ๓๐๐ วันที่ถูกคุมขังในคุกโพนเค็ง เมื่อท่านหกล้มเอกสารก็หล่นออกมาจากเสื้อ ทางคณะจึงช่วยกันแบ่งเอกสารมาช่วยกันถือแล้วก็พากันออกเดินทางต่อไป

ไม่ช้าขอบฟ้าก็เริ่มแจ้งขึ้น คณะสหายจึงต้องวิ่งสลับเดินให้พ้นสายตาชาวบ้านไปโดยเร็ว เพราะขณะนั้นชาวบ้านหนองแต้กำลังมีงานบุญและมีเสียงอึกทึกก่อนฟ้าจะรุ่งสาง

จากทุ่งนาเข้าสู่ป่าทึบเป็นป่าดงดิบ ริ้นยุงมากพอๆกับผึ้งทั้งฝูง เมื่อได้กลิ่นอายมนุษย์มันก็บินมาตอม การเดินทางของคณะสหายจำเป็นต้องเดินทางตอนกลางคืนโดยไม่อาศัยแสงไฟนำทาง จึงมีแต่แสงสะท้อนจากโลหะที่ติดไว้ข้างหลังเสื้อของผู้เดินนำหน้า แล้วทั้งคณะก็เดินตามหลังกันไปในความมืด

แหงนหน้ามองฟ้าทิศบูรพาเห็นขอบฟ้าสลัว พวกเขาเดินอย่างระโหยโรยแรงเข้าไปถึงดงใหญ่ก็พอดีกับฟ้าแจ้งจางปาง จึงพากันมุดเข้าไปอาศัยภายใต้ร่มเงาต้นไม้หนาทึบ เพื่อพักผ่อนหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่น

เสียรถบรรทุกทหารวิ่งมาบนถนนหมายเลข ๑๓ ตามมาด้วยรถถัง เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินที ๒๘ บินวนบนท้องฟ้าตามไล่ล่าคณะสหาย

เมื่อยก็เมื่อย หิวก็หิว แต่พวกเขาก็ต้องอดทนและอดทนเพื่อเป้าหมายปลายทางเบื้องหน้าคือการต่อสู้ ต่อสู้เพื่อขับไล่จักรวรรดินิยมออกจากดินแดนลาว

ริ้นยุงบินมาตอมเป็นกลุ่มๆ แต่ละคนแยกย้ายกันนั่งอย่างเงียบสงบ เจ้าสุภานุวงศ์และผู้นำสำคัญอยู่ลึกเข้าไปในป่า สหายสิงกะโปและสารวัตรทหารชุดหนึ่งนั่งหลบอยู่ทางทิศตะวันออก อีกชุดอยู่ทางทิศใต้ เพื่อรอคอยฟ้ามืดเพื่อจะออกเดินทางอีกครั้ง

ประมาณ ๗ โมงเช้า ชาวนาคนหนึ่งเข้ามาในป่าเพื่อติดตามควายที่พลัดหลง สหายสิงกะโปได้เข้าควบคุมตัวไว้ ยังไม่ปล่อยตัวให้กลับบ้าน แม้ว่าท่าทีของเขาจะไม่เป็นอันตรายต่อคณะสหายแต่ก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องควบคุมตัวเอาไว้ก่อน

ชาวนาผู้นั้นอยู่กับคณะจนถึงเวลาพลบค่ำ เขารับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่นำเรื่องไปพูดก่อนจะถูกปล่อยตัวไป แล้วคณะสหายก็ออกเดินทางต่อไปเมื่อความมืดมิดเข้ามาเป็นม่านกำบัง

ออกจากดงใหญ่ก็พากันเดินไปตามป่าดิบหนาทึบ ด้วยความอิดโรยและหิวโหย โดยมีท้าวเชียงสม เป็นผู้นำทาง การหลบหนีจากคุกโพนเค็งไปยังฐานที่มั่นเป็นระยะทางกว่า ๓๐๐ ไมล์ พวกเขาไม่เข้าไปพักพิงตามหมู่บ้านต่างๆ เพราะเกรงว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านหากกลุ่มทหารรัฐบาลติดตามมา และพวกเขายังต้องหลบหลีกไม่ให้ทหารรัฐบาลพบเห็นร่องรอย

การแหกคุกครั้งนี้ได้สร้างความโกรธแค้นแก่นายพลภูมี หน่อสวันซึ่งโกรธเป็นอย่างมาก เพราะผู้คุมที่ตนไว้ใจที่สุดกลับไปเข้าข้างเจ้าสุภานุวงศ์กันทุกคน

หลังจากที่คณะสหายต้องพบกับความลำบากตรากตรำในป่าดิบทึบเพื่อหลบหนี พวกเขาก็มาถึงบ้านหัวขัวอันเป็นจุดนัดพบที่คณะรับผิดชอบทหารเขตพื้นฐานแขวงเวียงจันทน์ ภายใต้การนำของสหายสาลี วงศ์คำซาว ได้สั่งทหารเขตพื้นฐานมวลชนจำนวนหนึ่งมาคอยต้อนรับ แล้วนำคณะเดินทางต่อไปถึงด่านสูงภูพนังและเข้าพักในถ้ำแห่งหนึ่ง

เบอร์เช็ตต์บันทึกเรื่องการแหกคุกจากการสัมภาษณ์เจ้าสุภานุวงศ์ไว้ว่า

“เรื่องราวของการหนีและการดำเนินงานนับตั้งแต่การปูพื้นฐานทางด้านอุดมคติทางการเมืองของเจ้าสุภานุวงศ์ ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ในสภาพที่เป็นไปไม่ได้เลย จากการที่ท่านต้องถูกคุมขังอยู่นั้น สมควรจะเป็นเนื้อเรื่องอันมีคุณค่าของนวนิยายเรื่องยิ่งใหญ่ที่ว่าด้วยการเสี่ยงชีวิตและความกล้าหาญของมนุษย์เรา นิยายที่มีแต่ความตื่นเต้นน่าอัศจรรย์ซึ่งไม่มีจินตนาการใดๆ จะเลิศเลอไปกว่านี้ได้อีกแล้ว นับเป็นประจักษ์พยานอีกครั้งหนึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณลักษณะพิเศษของเจ้าชายผู้กลายมาเป็นนักปฏิวัติผู้นี้.
.”

1 comment:

รวมมิตรคนเสื้อแดง said...

เยี่ยมมาก ๆ ครับผมเว็บประชาธิปไตย