Thursday, April 23, 2009

ลำดับ๕๘๔.ความท้อแท้ของวังเปา(๑)

บทที่ ๑

หลังจากที่วังเปาได้รับแต่งตั้งเป็นพลจัตวา และถูกใช้เป็นหุ่นเชิดตัวใหม่แทนภูมี หน่อสวันที่ไร้ประสิทธิภาพ เขาได้รับการเลื่อนยศอีกครั้งและได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่มณฑลทหารบกที่ ๒ ของลาวที่ครอบคลุมแขวงเชียงขวาง และซำเหนือ ตอนนี้วังเปาบัญชาการทั้งกองทหารอาสาชาวเขาที่มีซีไอเอช่วยเหลือด้านเสบียงอาหารและอาวุธและยังดูแลกองทหารลาวลุ่มของฝ่ายรัฐบาลนิยมกษัตริย์ในเวียงจันทน์ที่ประจำอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของลาว มณฑลทหารบกที่ ๒ เป็นมณฑลทหารที่มีความสำคัญในการต่อสู้กับฝ่ายปเทดลาว

สิ่งที่ทำให้เขาท้อแท้ใจ คือ การที่เขาได้รู้ตัวแล้วว่าตนเองทะเยอทะยานมาถึงจุดสูงสุดในตอนนี้เพื่อที่จะถูกหลอกใช้จากพวกนายพลลาวลุ่มของฝ่ายนิยมกษัตริย์ที่ชักใยรัฐบาลพลเรือนที่อ่อนแอ พวกนายพลลาวลุ่มรู้ว่าวังเปามีอเมริกันหนุนหลังอยู่ จึงพยายามเข้ามาตีสนิทเพื่อหวังใช้ประโยชน์จากเขา

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของฝ่ายนิยมกษัตริย์คือนายพลอ้วน ราทิกุล ช่างร่างท้วมผู้มีปัญญาหลักแหลมมาจากตระกูลทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งของลาวได้เสนอให้วังเปาขึ้นเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารที่ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากนายพลอ้วนต้องการแรงสนับสนุนทางการเมืองจากวังเปา

วังเปาเดินทางไปหลวงพระบางเพื่อหารือกับพวกนายพลหลายคน เมื่อไปถึงที่นั่น วังเปาจับสัญญาณเตือนภัยบางอย่างได้ว่า การรัฐประหารครั้งใหม่กำลังจะเกิดขึ้น เหมือนกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเล็กที่ส่งสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า ว่าการไหวครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง นายพลหลายคนส่งสายตาอันคมกริบข้ามโต๊ะสนทนา การโต้เถียงกันเล็กๆน้อยๆ มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแฝงอยู่ในบรรยากาศของที่ประชุมแห่งนั้นอย่างชัดเจน

ที่นั่น วังเปาได้เข้าเฝ้าเจ้ามหาชีวิตอีกครั้ง องค์เจ้ามหาชีวิตมีผลประโยชน์และบุญคุณอยู่กับนายพลอ้วน ผู้ที่ได้รับสัมปทานฝิ่นในแขวงหลวงพระบางอันเป็นที่มั่นและถิ่นฐานเก่าแก่ดั้งเดิมของราชวงศ์ลาว นายพลอ้วนได้รับส่วนแบ่งจากการขนฝิ่นจากฝั่งพม่าบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ผ่านเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของลาว นายพลอ้วนจะแบ่งผลประโยชน์ที่ได้มาส่วนหนึ่งให้เจ้ามหาชีวิต รายได้ส่วนนี้เองที่เป็นค่าใช้จ่ายในพระราชวัง อย่างไรก็ตาม นายพลอ้วนไม่เคยจงรักภักดีอย่างจริงใจกับใครนอกจากตัวเขาเอง

นายพลอ้วน มีผู้บังคับบัญชาคือนายพลภูมี หน่อสวัน ผู้ซึ่งเดินตามรอยและแนวทางที่คุ้นเคยของผู้มีอำนาจในภูมิภาคนี้ คือ เขาเดินขึ้นสู่อำนาจโดยอาศัยเสน่ห์ส่วนตัว ความสามารถและการอุปถัมภ์ค้ำชูจากบุคคลอื่น เมื่อมาถึงจุดสูงสุดในอาชีพเขาจึงหันไปให้ความสนใจกับผลประโยชน์จากธุรกิจส่วนตัว คือ บ่อนพนันและซ่องโสเภณี ใช้อำนาจทางราชการผูกขาดการนำเข้าทองคำและสุรา การฉ้อราษฎร์บังหลวงของตัวเองเช่นเดียวกับเพื่อนฝูงและลูกน้องของเขา ทำให้มีใครหลายต่อหลายคนเกิดความอิจฉาตาร้อนอย่างยิ่ง

No comments: