Monday, May 4, 2009

ลำดับ๖๒๘ยุทธการภูผาที(จบ)

บทที่๒๙ อเมริกันพ่ายแพ้บนภูผาที

นักบินนำชอปเปอร์เข้าใกล้ที่มั่นบนยอดภูผาทีประมาณ ๑ ชั่วโมงหลังอาทิตย์ขึ้น มันเป็นชอปเปอร์ของแอร์อเมริกาไม่ใช่ของกองทัพ ซึ่งนำเครื่องขึ้นพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ๒ คนและเจ้าหน้าที่เทคนิคอีก ๕ คน โดยมีเอ็ทช์เบอร์เกอร์เป็นคนสุดท้ายที่ปีนขึ้นชอปเปอร์ ขณะที่นักบินกำลังนำเครื่องขึ้นจากลานจอด ทหารเวียดนามเหนือคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเครื่องปั่นไฟและสาดกระสุนปืนประจำกายขึ้นใส่บริเวณใต้ท้องชอปเปอร์ กระสุนนัดหนึ่งเจาะทะลุพื้นห้องโดยสารถูกเอ็ทช์เบอร์เกอร์จนแน่นิ่งไป

นักบินนำเครื่องไปลงที่นัคฮัง จากนั้นพวกเขาถูกนำขึ้นเครื่องบินลำเลียงขนาดเบาแบบคาริบู บินต่อไปยังอุดรฯ เมื่อเครื่องลงจอดร้อยโทเครย์ตัน ที่กำลังรอพวกเขาอยู่ที่นั่น รีบกระโจนขึ้นบนเครื่อง ในตอนแรกเขาจำเอ็ทช์เบอร์เกอร์ที่นอนเบิกตาโพรงอยู่บนพื้นห้องโดยสารไม่ได้ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น บนเนื้อตัวไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ ต่อมาภายหลัง จากการชันสูตรศพจึงพบว่าลูกกระสุนได้เจาะเข้าร่างกายเขาจากเบื้องล่างและเข้าสิ้นชีวิตจากการตกเลือดภายใน ในมือขวาของเขากำสลักลวดคู่หนึ่งไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ก่อนขึ้นเครื่องเอ็ทช์เบอร์เกอร์ได้กลับไปยังสถานีเรดาห์และดึงสลักลวดวงจรเริ่มการทำงานของระเบิดภายในอาคารเรดาห์

นอกเหนือจากพื้นที่บริเวณยอดเขา ทหารม้งยังคงควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่รอบภูผาที หน่วยทหารรบพิเศษของไทยนั้นแทบไม่ได้ปะทะกับทหารข้าศึกเลย อย่างไรก็ตามได้มีคำสั่งให้ถอนกำลังทุกส่วนออกมาจากบริเวณภูผาที โดยไม่มีการตอบโต้ข้าศึกแต่อย่างใด

เซ็กคอร์ดได้เล่าถึงเหตุการณ์ในภายหลังว่า “อากาศในตอนนั้นดีขึ้นมาก ฝ่ายเรามีทหารจำนวนมากอยู่บนนั้น ทุกคนต่างลาดตระเวนไปรอบฐานมองหาข้าศึกเพื่อสังหารให้สิ้นซาก แต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว ตอนรุ่งเช้าของวันนั้น เครื่องบิน เอ-1 เครื่องหนึ่งถูกยิงตกและนักบินเสียชีวิต เรามีเวลาเพียงช่วงสั้นๆ ในการเข้าไปในพื้นที่แล้วก็รีบถอนตัวออกมาอย่างเร่งด่วน”

“เราไม่เคยทำได้ตามแผนที่วางไว้ เราได้มีการล่าถอยอย่างเป็นระบบ ได้ติดตั้งระเบิดทำลายอุปกรณ์เรดาห์เอาไว้แล้ว แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่ได้ระเบิดมันทิ้ง ทุกอย่างเละตุ้มเปะไม่เป็นท่า”

“มันเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนความมั่นใจของพวกเราทุกคนอย่างยิ่ง”

Friday, May 1, 2009

ลำดับ๖๒๗ยุทธการภูผาที(๒๘)

บทที่๒๘ สุดต้านทาน

อเมริกันคนที่สี่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ๆกันนั้น ส่วนพวกที่เหลือในสถานีเรดาห์ต่างวิ่งหนีตายไปที่ประตูทางออกอีกด้านหนึ่งของอาคาร โดยลืมตั้งเวลาระเบิดทำลายสถานีเรดาห์

เมื่อบังค์เกอร์กระสอบทรายถูกลูกปืนใหญ่ข้าศึกทำลายไปแล้ว เจ้าหน้ที่ควบคุมอุปกรณ์เรดาห์อีกกะหนึ่งซึ่งพักรอเวลาเข้ากะอยู่ตรงบริเวณชะง่อนหินที่อยู่เยื้องลงมาจากหน้าผาไม่กี่ฟุต หนึ่งในนั้นมีจ่าสิบเอกริชาร์ด เอ็ทช์เบอร์เกอร์ที่ชำนาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อทหารฝ่ายตรงข้ามปรากฏตัวขึ้นที่ด้านบนตรงขอบหน้าผาและเริ่มระดมยิงลงมา เขาจึงได้ยินสวนขึ้นไปด้วยปืนเอ็ม-16 พวกข้าศึกจึงโยนลูกระเบิดมือลงมาบริเวณชะง่อนหินเบื้องล่าง พวกอเมริกันตาลีตาเหลือกใช้เท้าเตะลูกระเบิดลงหน้าผาไป แต่ลูกระเบิดบางลูกเกิดระเบิดขึ้นก่อนที่พวกอเมริกันจะทันทำอะไร พวกเขาบางคนจึงบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด และเศษหิน จ่าทหารอากาศอีกคนหนึ่งถูกระเบิดเข้าอย่างจัง จนปลิวตกหน้าผาไปเนื่องจากพยายามวิ่งเข้าเตะระเบิดที่เกิดระเบิดขึ้นพอดี

อเมริกันคนอื่นๆ ที่ขนาบสองข้างเอ็ทช์เบอร์เกอร์ต่างได้รับบาดเจ็บ พวกเขาได้ยื่นแม็กกาซีนกระสุนสำรองให้เขาเพื่อยิงสกัดไม่ให้ฝ่ายข้าศึกลงมาที่ที่พวกเขาอยู่ได้

ในเวียงจันทน์ ท่านทูตซุลลิแวนได้รับแจ้งการปะทะกันด้วยอาวุธปืนประจำกายบนยอดเขา แต่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เมื่อถึงเวลาตีห้าสิบห้านาทีเขาตัดสินใจสั่งการให้อพยพทุกคนออกจากที่มั่นบนยอดเขา

ในขณะเดียวกันนั้น ฟรีแมน ฉวยปืนลูกซองกึ่งอัตโนมัติพร้อมลูกระเบิดมือ ไต่หน้าผาขึ้นไปบนยอดเขาโดยมีทหารม้งหมู่หนึ่งติดตามมาด้วย พวกเขาไม่พบทหารข้าศึกบนยอดภู แต่ในเวลาที่พวกเขาขึ้นมาถึงยอด พวกทหารม้งที่ตามมาได้หนีหายไปเกือบหมด แสงแรกของอรุณได้มาเยือนภูผาที กลุ่มเมฆที่หนาทึบปกคลุมยอดเขาอยู่ก็เริ่มจางลงจนเลือนหายไปในที่สุด

ฟรีแมนเดินอ้อมไปทางตะวันตกของกลุ่มอาคารบริเวณยอดเขาห่างจากหน้าผาเพียงไม่กี่หลา ที่นั่นเขาเห็นทหารเวียดนามเหนือคนหนึ่ง จึงยิงออกไปด้วยปืนลูกซอง แต่เมื่อสิ้นเสียงปืนนัดแรก กระสุนก็ขัดลำกล้อง เขารีบแก้ไขจนกลับมายิงได้ และต่างฝ่ายก็เริ่มยิงโต้ตอบกันโดยไม่มีใครยิงโดนอีกฝ่ายหนึ่ง

เมื่อวิ่งอ้อมมุมตัวอาคารไป ฟรีแมนมองเห็นรังปืนกลข้าศึกตั้งอยู่ภายในกระสอบทรายล้อมรอบ ขณะนั้นทหารเวียดนามคนหนึ่งกำลังใส่ใจกับการยิงปืนกลเข้าใส่เครื่องบินใบพัดเอ-1 ที่กำลังบินวนรอบๆยอดเขา ฟรีแมนจึงยิงใส่ทหารคนนั้น จากนั้นวิ่งกลับไปตามทางที่ตัดตรงไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เขาได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้ายบริเวณใต้หัวเข่า แต่ไม่สาหัสนัก

ลำดับ๖๒๖ยุทธการภูผาที(๒๗)

บทที่๒๗ บุกถึงยอดภู

๐๒๐๐ น.เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของกองทัพอากาศบนภูผาที คือร้อยตรี บิล แบลนตัน ได้แลกเปลี่ยนข้อความทางโทรเลขกับเจ้านายของเขาร้อยโทเครย์ตันที่อยู่ในศูนย์ฯ๔๘๐๒ อุดรฯ เครย์ตันแจ้งว่าเท่าที่เขาทราบนั้นเจ้าหน้าที่บนภูผาทีได้รับอนุมัติให้ระเบิดสถานีเรดาห์ทิ้งและเผ่นหนีเอาตัวรอดออกมาในทันที แบลนตันตอบกลับมาว่าเรดาห์ยังคงทำงานอยู่และพวกเขาก็คิดจะกลับไปควบคุมอุปกรณ์ที่นั่น จ่าเมลวิน ฮอลแลนด์ เจ้าหน้าที่วิทยุเขียนต่อท้ายมาในข้อความว่า “หวังว่าคงได้เจอกัน”

ราวๆ ตีสามสิบห้านาที เจ้าหน้าที่ซีไอเอที่รออยู่บริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ได้ติดต่อมายังอุดรฯ แจ้งว่าเขาไม่สามารถติดต่อวิทยุกับเจ้าหน้าที่เทคนิคในสถานีเรดาห์ได้ “ผมได้ยินเสียงปืนอัตโนมัติดังมาจากข้างบนนั้น” ฟรีแมนแจ้งมาทางอุดรฯ

“คุณว่าไงนะ” แลนดรี้คว้าไมค์ตะโกนถามออกไป เสียงปืนอัตโนมัติเหมือนกับเสียงของปืนเอ็ม-๑๖ ซึ่งมีเสียงยิงถี่รัวแตกต่างอย่างมากจากเสียงอาวุธหนักของเวียดนามเหนือที่ยิงขึ้นมาจากบริเวณเชิงเขา หากเจ้าหน้าที่ซีไอเอหูไม่ฝาดไปล่ะก็ นั่นหมายความว่าพวกข้าศึกได้เล็ดลอดผ่านแนวตั้งรับขึ้นไปได้แล้ว แล้วพวกคนไทยอยู่ที่ไหนกัน

“นั่นนะสิ แต่ผมแน่ใจว่าหูไม่ฝาด” ฟรีแมนยืนยัน

แลนดรี้สั่งการไปว่า “คุณรีบไปตามพวกนั้นมาโดยด่วน และรีบขึ้นไปยอดเขาอย่าชักช้า”

เซ็กคอร์ดใช้โทรศัพท์สายตรงจากฝูงบินที่ ๑๓ ในอุดรฯ พูดกดดันนายทหารเวรของกองบินที่ ๗ ยศนายพลจัตวาว่าจะส่งตัวเขาขึ้นศาลทหารหากยังดื้อรั้นไม่ยอมส่งเครื่องกันชิพไปยังไซท์ลิม่า ๘๕

คลื่นสัญญาณวิทยุจากบนยอดเขาไม่ชัดเจนนัก แต่พอจับความได้ว่าขณะนั้นฟรีแมนถูกตรึงอยู่กับที่ และบริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ก็ตกอยู่ภายใต้การโจมตีทั้งจากอาวุธหนัก และปืนประจำกายของข้าศึก ในเวลาเดียวกันนั้นเองหน่วยคอมมานโดของพวกเวียดนามเหนือจำนวนประมาณ ๒๐ หมู่ที่ได้เล็ดลอดเข้ามาทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อ้อมผ่านที่มั่นของหน่วยรบพิเศษชาวไทย

กำลังทำการไล่ล่าเจ้าหน้าที่อเมริกันบริเวณสถานีเรดาห์ พวกคอมมานโดเวียดนามเหนือรู้จักพื้นที่บนยอดเขาเป็นอย่างดี เชื่อกันว่าแบลนตันและคนอื่นๆในสถานีเรดาห์ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนและลูกระเบิดมือจึงรีบออกจากตัวอาคารและเผชิญหน้ากับหน่วยคอมมานโดข้าศึก

แบลนตันพยายามอธิบายว่าพวกเขาเป็นพลเรือนและไม่มีอาวุธ เขาเอื้อมมือไปที่กระเป๋าหลังเพื่อจะหยิบบัตรประจำตัวของบริษัทล็อกฮีทออกมา และในตอนนั้นเองที่คอมมานโดเวียดนามเหนือเริ่มเปิดฉากยิงใส่เขาและอเมริกันอีกสองคนในระยะประชิดจนตายคาที่ทั้งสามคน

ลำดับ๖๒๕ยุทธการภูผาที(๒๖)

บทที่๒๖ เตรียมอพยพ

บทภูผาที ประมาณชั่วโมงครึ่งหลังการระดมยิงด้วยอาวุธหนักของข้าศึกยุติลง เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศก็ปรากฏตัวจากที่หลบซ่อน บริเวณชะง่อนหินติดหน้าผาด้านหลังฐาน และได้กลับไปประจำสถานีเรดาห์เพื่อควบคุมอุปกรณ์ที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง

เจ้าหน้าที่ชี้เป้าภาคพื้นดินที่นั่น ได้พยายามนำร่องให้กับเครื่องบินใบพัดจำนวนสองเครื่อง และเครื่องไอพ่นอีก ๔ เครื่อง ผ่านกลุ่มเมฆหนาเข้ายังเป้าหมาย เจ้าหน้าที่คนกลังกล่าวมีงานล้นมือเนื่องจากขณะนั้นมีเครื่องบินปฏิบัติการจำนวนหลายเครื่อง และยังมีเครื่องบินอีกจำนวนหนึ่งกำลังทยอยบินเขามาในพื้นที่ นักบินเหล่านั้นจึงถูกสั่งให้นำเครื่องมุ่งกลับฐานบิน

ความเงียบสงบชั่วคราวเข้าปกคลุมยอดภูผาทีอีกครั้ง เวลา ๒๑๐๐ เกิดการปะทะกันรุนแรงที่หมู่บ้านม้งแห่งหนึ่งห่างจากสถานีเรดาห์ชั่วระยเวลาเดินเท้าครึ่งชั่วโมง จากนั้นเหตุการณ์ก็เงียบสงบลงอีก ที่มั่นรอบนอกของม้งเกือบทั้งหมด รายงานเข้ามาว่าพวกเขายังคงต้านทานข้าศึกอยู่ได้ ทหารกองหนุนหน่วยรบพิเศษของไทยก็ยังคงตั้งมั่นอยู่ในที่ตั้งของพวกเขา

จวนเที่ยงคืน รองผู้บัญชาการฝูงบินที่ ๑๓ ในอุดรฯ ได้วิทยุติดต่อมายังเจ้าหน้าที่ประสานงานกองทัพอากาศที่กองบัญชาการซีไอเอในเวียงจันทน์ เพื่อไต่ถามสถานการณ์ ทางเวียงจันทน์แจ้งกลับไปว่าการถอนตัวออกมาจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะกระทำ

ที่อุดรฯ เซ็กคอร์ดได้โทรศัพท์ไปขอร้องทางไซ่ง่อน ให้ช่วยส่งเครื่องกันชิพเข้ามาสนับสนุน แต่สายได้ขาดไปเฉยๆ เขาจึงเดินข้ามรันเวย์ไปยังที่ตั้งของฝูงบินที่ ๑๓ เพื่อหาเครื่องโทรศัพท์สายตรงจากที่นั่น เพื่อโทรกลับไปที่ไซ่ง่อนอีกครั้ง

ที่ล่องแจ้ง บรรดาผู้บัญชาการทหารของวังเปากำลังเตรียมความพร้อมของพวกทหาร โดยนักบินชอปเปอร์เตรียมเครื่องพร้อมออกปฏิบัติการอยู่บริเวณสนามบิน

ประมาณตีหนึ่งครึ่ง หลังจากการระดมยิงโดยอาวุธหนัก การโจมตีได้เริ่มอีกครั้ง ซุลลิแวนจึงตัดสินใจอพยพเจ้าหน้าที่อเมริกันบางส่วนออกมาจากภูผาทีในเวลา ๐๘๐๐ ของเช้าวันรุ่งขึ้น สถานการณ์โดยทั่วไปยังคงไม่น่าไว้วางใจ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต ทุกฝ่ายยังสามารถวิทยุติดต่อกันได้อยู่