Sunday, June 17, 2007

บทความที่ ๑๕๙. ศิวรักษ์สำนึก ตอนที่ ๔

ศิวรักษ์สำนึกตอนที่ ๔

กราบเรียน ท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ที่เคารพอย่างสูง

คุณสุภา ศิริมานนท์ได้กรุณานำหนังสือ “คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต ร.๘” มาให้กระผม ๑ เล่ม พร้อมด้วยนามบัตรของท่าน แจ้งว่าท่านผู้หญิงสั่งให้ส่งถึงมือกระผมให้ท่านวันที่ ๑๑ พฤษภาคม เผอิญกระผมไปประเทศจีน เพิ่งกลับมาถึงวันนั้นพอดี ได้เห็นนามบัตรทราบว่าวันดังกล่าวตรงกับวันเกิดของท่านครบ ๘๐ ปีบริบูรณ์ ก็เลยได้ถือโอกาสตั้งจิตอธิษฐานขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยได้โปรดบันดาลให้ท่านอายุมั่นขวัญยืน มีสติปัญญากล้าแข็ง เพื่อเปิดเผยสัจจะออกมาให้ปรากฏ เพื่อสันติสุขของชาวไทยและชาวโลกสืบต่อไปชั่วกาลนาน

พร้อมกันนี้กระผมก็ขอกราบขอบคุณท่าน และท่านผู้หญิงที่มีเมตตา กรุณาส่งหนังสือมาให้ โดยที่กระผมได้เคยรับความอารีเช่นนี้มาก่อนบ้าง แล้วทั้งทางหนังสือเล่มและทางคำพูดที่คุณสุภากรุณาสืบต่อมาให้ นับเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

ในวันที่ ๑๑ นั้นเอง แม้จะเหนื่อยล้าจากการเดินทางเพียงใด กระผมก็นั่งจมอยู่จนดึกโดยอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบ ทั้ง ๆ ที่เคยอ่านฉบับร่างคำฟ้องก่อนหน้านั้นแล้ว และได้นึกนิยมชมชอบมาแต่ตอนอ่านครั้งแรกนั้นแล้วว่า ท่านเป็นผู้ที่ต่อสู้ความอาสัตย์ด้วยความสัตย์อย่างน่าสรรเสริญ เมื่อมาอ่านอีกครั้ง ยิ่งเกิดความปิติเลื่อมใสในสติปัญญา ความสามารถความละเอียดถี่ถ้วนของท่าน ทั้งด้านการสืบสวน ค้นคว้าหาหลักฐาน วิจัยและวิเคราะห์อย่างยากที่จะหาตัวจับได้ แม้จะชราอายุถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังมีความคิดเป็นเลิศอยู่ สมแล้วกับตำแหน่งรัฐบุรุษอาวุโส และถ้ารัฐบุรุษไทยยุคใดสมัยใดแลเห็นคุณงามความสามารถของท่านได้เช่นนี้ ก็คงจะหาโอกาส “ปรึกษากิจราชการแผ่นดิน” กับท่าน “เพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป”

กระผมต้องขอสารภาพกับท่านอย่างหน้าชื่นว่า ตัวเองได้เคยล่วงเกินท่านทั้งโดยในมโนกรรมและวจีกรรม ทั้งนี้เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แม้กระผมจะไม่เชื่อว่าท่านมีความเลวร้ายในเรื่องกรณีสวรรคต แต่ก็ต้องขอยอมรับว่าได้เคยเชื่อข่าวลืออันเป็นอกุศลเกี่ยวกับตัวท่านมาแต่ก่อน และได้ให้ความเชื่อมั่นในสถาบันศาลของไทยมาเกินพอดีไป ดังได้เขียนวิจารณ์เรื่อง The Devil’s Discus ไปในทำนองนั้น หารู้ไม่ว่านั่นได้เป็นปฐมเหตุให้ท่านต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ได้ทราบว่าคุณดิเรก ชัยนาม ก็โทมนัสขัดแค้นมาก ควรที่กระผมจะสืบทราบข้อเท็จจริงจากท่านผู้นั้น ก็กลับเหลวเสียแต่ภายหลังต่อมากระผมได้พยายามแสวงหาความจริงในเรื่องนี้อยู่มาก ทั้งจากปากคำและจากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ทำให้สว่างมากขึ้น

ยิ่งกรณีนายตี๋ ศรีสุวรรณ ด้วยแล้ว กระผมคลางแคลงมานานแล้ว ต่อมาได้อ่านคำสารภาพของแกก็ยิ่งปราศจากกังขาใด ๆ อีกเลย ยิ่งมาได้อ่านถ้อยคำของท่าน(ท่านปรีดี)ในเรื่องอินทภาสและข้อโต้แย้งตอบพระยาเลขวณิชธรรมวิทักษ์กับพวกคณะศาลฎีกาชุดนั้นแล้ว กระผมยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่าศาลไทยนั้นทิ้งหลักการความยุติธรรมได้อย่างน่าอนาถใจมาแต่สมัยนั้นแล้ว ยังการให้ข่าวลือทำลายคนนั้นกระผมเองยิ่งเห็นชัดขึ้น เมื่อคราวคุณป๋วย อึ๊งภากรณ์นี่เอง แม้ตัวเองก็ได้ลิ้มรสทำนองนั้นด้วยเช่นกัน

กระผมจึงขออโหสิกรรมจากท่าน ที่ได้จ้วงจาบหยาบช้าต่อท่านมาแต่ก่อน ไม่จำเพาะแต่เรื่องที่เอ่ยถึงนั้นเท่านั้น หากยังในข้อเขียนอื่น ๆ อีกด้วย หวังว่าท่านคงกรุณาให้อภัย และหากเป็นไปได้กระผมอยากขออนุญาตมากราบเท้าแสดงความเคารพถึงปารีส เมื่อเป็นโอกาสอันควร

กระผมหวังว่าท่านคงมีเวลาเขียนเรื่องเนื่องด้วยข้อเท็จจริงทำนองนี้ออกมาให้ปรากฏเรื่อย ๆ ซึ่งไม่แต่พิสูจน์ความบริสุทธิ์และความกล้าหาญทางจริยธรรม ที่ท่านได้รับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มาเท่านั้น หากยังเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อันไม่อาจหาได้จากใครอื่นอีกด้วย ด้วยเหตุฉะนี้กระผมจึงมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะมีสติปัญญา พลานามัย สุขกาย สุขใจสืบต่อไปอีกนานเท่านาน

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ข้าพเจ้าได้ส่งสำเนาให้นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ นายสุภา ศิริมานนท์ นายกรุณา กุศลาสัย และบางคนที่เป็นตัวเชื่อมให้ข้าพเจ้าเข้าใจนายปรีดี ข้าพเจ้าถือว่าท่านเหล่านี้มีบุญคุณ เพราะท่านไม่เคยยัดเยียดให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนทัศนคติและไม่เคยลบหลู่ดูถูกความคิดอ่านของข้าพเจ้า บางท่านเพียงพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนมีสติปัญญา แต่บางทีบางอย่างอาจบดบังผมอยู่ก็ได้ ดังที่เขาเรียกกันว่าเส้นผมบังภูเขา เมื่อเขี่ยผงเสียแล้วย่อมเห็นภูเขาได้เอง บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นแล้ว ว่านายปรีดี พนมยงค์ เป็นขุนเขาอันยิ่งใหญ่ที่แม้จะมีหมู่มารเอาเส้นผมและขวากหนามมาปิดกั้น ก็หาทำได้ตลอดไปไม่ ข้าพเจ้าเองถือเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องสนองคุณท่านด้วยการประกาศสัจจะให้แพร่หลายออกไปให้เป็นที่รับทราบกันในวงกว้างให้จงได้

ภายในเวลาอันไม่ช้า ท่านก็ได้ตอบจดหมายข้าพเจ้ามาดังนี้

No comments: