Monday, June 4, 2007

บทความที่ ๑๓๘. ความเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดีย บทเรียนของพุทธศาสนิกชนชาวไทย ตอนที่ ๒

กลืนศาสนา

หลังจากใช้วิธีทำลายพระพุทธศาสนาด้วยความรุนแรงมาเป็นเวลานานแต่ก็ไม่สามารถทำลายพระพุทธศาสนาได้หมด พวกพราหมณ์จึงใช้วิธีการใหม่ซึ่งนำไปสู่อวสานของพุทธศาสนาในอินเดียในที่สุด วิธีการที่พราหมณ์นำมาใช้ก็คือการกลืนพระพุทธศาสนาไว้ภายใต้ระบบศาสนาฮินดู หรือเปลี่ยนพระพุทธศาสนาทั้งหมดให้เป็นฮินดูนั่นเอง

ขบวนการกลืนพระพุทธศาสนาได้เริ่มต้นมานานหลายศตวรรษแล้ว และยังคงดำเนินต่อไปแม้กระทั่งทุกวันนี้ ไม่ว่าจะมีผู้ใดรู้เท่าทันหรือไม่ก็ตาม ถึงแม้ว่าในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ พวกมุสลิมได้ทำการรุกรานประเทศอินเดีย และได้ทำลายพระพุทธศาสนาและพุทธสถานลงไปเป็นอันมาก รวมทั้งได้เผาผลาญมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาอันยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนาลงด้วย แต่ก่อนหน้านั้นพระพุทธศาสนาก็อ่อนแรงลงมากแล้ว อันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของศาสนาฮินดู และความเสื่อมโทรมในวงการพระพุทธศาสนาเอง วิธีการที่ศาสนาฮินดูกลืนพระพุทธศาสนานั้น มีหลักการใหญ่อยู่ ๓ ประการ คือ

๑. อธิบายบิดเบือนหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ก่อให้เกิดสัทธรรมปฎิรูปอย่างกว้างขวาง เช่น อธิบายว่าพระพุทธศาสนาสอนหลักอัตตา (ความมีตัวตน) พระธรรมกายของพระพุทธองค์เป็นสภาวะเดียวกับอัตตา และแม้แต่คำว่าวิญญาณในพระพุทธศาสนา พวกฮินดูก็บิดเบือนสอนว่าเป็นอัตตา เป็นร่างทิพย์ กายใสอยู่ในร่างกายสัตว์ บุคคล เมื่อสัตว์ บุคคล ตายลง วิญญาณนั้นก็ออกจากกายหยาบไปสู่กายใหม่ในภพใหม่ อย่างนี้เป็นต้น แต่โดยปรมัตถธรรมอันแท้จริงตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคนั้นพระองค์ทรงตรัสแสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษาว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา (ปราศจากภาวะที่เที่ยงแท้ที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตนได้) และพระพุทธองค์ไม่ยอมรับหลักอัตตาของพวกพราหมณ์ไม่ว่าจะโดยประการใด ๆ นอกจากนั้นพวกพราหมณ์ ฮินดู ยังบิดเบือนหลักพุทธธรรม โดยอธิบาย “นิพพาน” ในพระพุทธศาสนาว่าเป็นสิ่งเดียวกับโมกษะในศาสนาพราหมณ์(ฮินดู)

๒. นำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไปสอดแทรกไว้ในคัมภีร์ของศาสนาฮินดู แล้วอวดอ้างว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนาและในศาสนาฮินดูเหมือนกัน โดยที่ศาสนาฮินดูเป็นระบบศาสนาที่สืบเนื่องมาจากลัทธิพราหมณ์ ศาสนิกฮินดูจึงอ้างว่าศาสนาของตนเก่ากว่าพระพุทธศาสนา พอนานเข้าก็อ้างว่า พระพุทธศาสนาพัฒนามาจากศาสนาฮินดู หรือว่าเป็นส่วนหนึ่งของศาสนานั้น

๓. แต่งเรื่องอ้างว่าพระพุทธศาสนาเป็นอวตารปางหนึ่งของพระวิษณุ (หรือที่รู้จักในเมืองไทยว่า “พระนารายณ์”) ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดไปจากความจริง และในที่สุดก็สรุปว่า โดยที่พระพุทธเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของพระวิษณุ พระพุทธศาสนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาฮินดูด้วย

ได้มีการนำเอาหลักทั้ง ๓ ข้อมาใช้ทำลายพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายศตวรรษ เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความสับสนก็ยิ่งมีมากขึ้น จนชาวพุทธเองในระยะหลัง ๆ ก็แยกแยะไม่ถูกว่า คำสอนใดเป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา และคำสอนใดเป็นของศาสนาฮินดู ทั้งหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเองนั้นเล่า คำอธิบายเช่นไรเป็นคำอธิบายที่ถูกต้อง และคำอธิบายเช่นไรเป็นความเข้าใจที่ผิด ก็สุดที่จะแยกแยะได้ เกิดความสับสนทางด้านหลักธรรมโดยทั่วไป เป็นทิฏฐิวิปริตอย่างชนิดที่ไม่อาจเยียวยาได้ เมื่อทิฏฐิวิปริตแล้ว การปฏิบัติก็ขาดแนวทางที่ถูกต้อง ในที่สุดพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นก็ถูกจับไปคลุกเคล้าผสมผสานกันกับศาสนาฮินดูจนสูญสิ้นเอกลักษณ์ และหมดสถานภาพความเป็นศาสนาเอกเทศไปโดยสิ้นเชิง

ศาสนาฮินดูมิได้ดำเนินการกลืนเฉพาะหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเท่านั้น หากยังกลืนพุทธศาสนาและปูชนียวัตถุในพระพุทธศาสนาให้เป็นฮินดูไปด้วย หมายความว่า ได้พยายามเปลี่ยนแปลงวัดในพระพุทธศาสนาให้เป็นวัดฮินดู และเปลี่ยนพระพุทธรูปโบราณที่มีอยู่มากมายให้เป็นเทวรูปในศาสนาฮินดูไปด้วย วิธีการที่ทำก็ง่ายดาย กล่าวคือ ในกรณีที่เป็นพุทธศาสนา เช่น วิหารในพระพุทธศาสนา พวกนักบวชฮินดูจะนำเอาศิวลึงค์ อันเป็นวัตถุบูชาในศาสนาของตนไปวางใว้ในวิหารนั้น หรือในบริเวณเดียวกัน เมื่อมีศิวลึงค์ตั้งอยู่ ชาวฮินดูก็พากันไปกราบไหว้ พวกพราหมณ์นั่งเฝ้าคอยประกอบพิธีให้ และคอยเก็บเงินบริจาคด้วย ส่วนชาวพุทธก็เดินทางไปนมัสการเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นพุทธศาสนาเก่าแก่

ในกรณีที่เป็นพระพุทธรูป พวกฮินดูก็จะประดับประดาตกแต่งพระพุทธรูปนั้น และเอาสีแดงมาแต้มแต่งพระพักตร์จนดูเป็นเทวรูปฮินดูไปในที่สุด แน่นอน สิ่งที่พวกพราหมณ์ไม่ลืมที่จะปฏิบัติก็คือคอยแนะนำนักจาริกแสวงบุญให้บริจาคเงิน และคอยเก็บเงินที่ผู้คนพากันมาบริจาคนั้นด้วย พวกพราหมณ์มักกระทำการนี้ ณ พุทธสถานโบราณอันเป็นที่รู้จักกันดีและมีนักจาริกแสวงบุญไปเป็นจำนวนมาก

การกระทำเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการ “กลืน” พุทธสถานและโบราณวัตถุในพระพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นการทำลายหลักฐานทางโบราณคดีที่ไม่น่าอภัยด้วย แม้แต่ศรีมหาโพธิวิหารอันเป็นสถานที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์นี้เช่นกัน และเป็นแหล่งหนึ่งที่พวกพราหมณ์พยายามยึดเกาะเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะนั่นคือศูนย์รวมแห่งศรัทธาของโลกพระพุทธศาสนา ซึ่งแต่ละปีจะมีชาวพุทธทั่วโลกเดินทางไปจาริกแสวงบุญกันอย่างมากมายสุดคณานับ

No comments: