Monday, June 4, 2007

บทความที่ ๑๓๙.ความเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดีย บทเรียนของพุทธศาสนิกชนชาวไทย (จบ)

ความเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดีย บทเรียนของพุทธศาสนิกชนชาวไทย
บทที่ ๒ พระพุทธศาสนากับศาสนาฮินดู

ชาวฮินดูภาคภูมิใจในความเป็นลัทธิเทวนิยมมาก ต่างถือกันว่าคัมภีร์ทางศาสนาทั้งหลายได้รับการเปิดเผยโดยเทพเจ้าเบื้องบน ในขณะที่ทางพระพุทธศาสนาปฏิเสธท่าทีนี้โดยสิ้นเชิง คัมภีร์พระเวทนั้นชาวฮินดูถึงกับแต่งเรื่องว่า เปล่งออกมาโดยการละเมอของพระพรหมในขณะที่กำลังบรรทมหลับสนิทอยู่ในห้วงนิทรา ถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์สุดยอด เพราะออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพรหมเอง เห็นได้ว่าการที่ชาวฮินดูแอบอ้างเทพเจ้าก็เพื่อให้คัมภีร์เหล่านั้นดูศักดิสิทธิ์ เป็นจิตวิทยาที่ศาสนาเทวนิยมทุกศาสนานำมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คัมภีร์เหล่านั้นขาดเนื้อหาสาระที่น่าเชื่อถือในตัวเอง เช่นนี้ก็ยิ่งมีความจำเป็นในการอาศัยนามของเทพเจ้า มากขึ้น

แต่พระพุทธศาสนาไม่จำเป็นจะต้องใช้กลอุบายเช่นนั้น พระพุทธองค์ผู้เป็นศาสดาของศาสนาพุทธประกาศอย่างชัดเจนว่า พระองค์เป็นสยัมภู ตรัสรู้เอง ไม่มีครูอาจารย์ ไม่มีเทพหรือพระเจ้าที่ไหนมาเปิดเผยพระธรรมให้พระองค์ แม้ว่าพระองค์จะเคยศึกษาวิชาการต่าง ๆ มาจากสำนักครูอาจารย์ชั้นยอดในสมัยนั้น แต่วิชาเหล่านั้นหาได้เกี่ยวข้องกับการตรัสรู้ของพระองค์ไม่ จนแม้พระองค์ได้ศึกษาจนเจนจบสุดยอดแห่งความรู้เหล่านั้น แต่ไม่ได้เข้าใกล้หนทางตรัสรู้แม้แต่น้อย ต่อเมื่อพระองค์ได้ดำเนินตามหนทางที่พระองค์ได้อบรมเจริญปัญญามาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตชาติที่พระองค์ยังเป็นโพธิสัตว์นามว่า “สุเมธดาบส” ในครั้งนั้นพระองค์ได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “พระทีปังกร” ว่า สุเมธดาบสท่านนี้ในอนาคต ๔ อสงไขย แสนกัปป์จักได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

สุเมธดาบสได้อบรมเจริญปัญญาและบารมีทั้ง ๑๐ มาอย่างยาวนานใน ๔ อสงไขยแสนกัปป์ จนบารมีของพระองค์ครบถ้วนบริบูรณ์ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ หกปีแห่งการบำเพ็ญทุกรกิริยาที่พระองค์พบว่านี่ไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู้ และเมื่อพระองค์ละทิ้งหนทางแห่งการเบียดเบียนทางกายมาดำเนินบนหนทางแห่งความเป็นปกติที่ไม่ตกไปในทางลำบากและไม่ตกไปในทางเสพเสวยสุข และในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ นั้นพระองค์ก็ได้ตรัสรู้ธรรมทั้งปวงด้วยพระองค์เอง เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นเมื่ออุปกาชีวทูลถามพระองค์ในระหว่างทางเสด็จไปเมืองพาราณสีว่า ใครเป็นครูอาจารย์ พระองค์ตรัสตอบว่า พระองค์ตรัสรู้ธรรมด้วยตนเอง หามีใครเป็นครูอาจารย์ไม่

ในเรื่องของการบูชายัญ บวงสรวงเทวดา เทพเจ้าทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงธรรมให้พุทธศาสนิกละเลิกการกระทำที่ไม่เป็นไปในเหตุผลเหล่านั้นเสีย เพราะการกราบไหว้วิงวอนร้องขอ ลาภ สักการะจากเทพเจ้า เทวดา เป็นการนำตัวเองไปผูกพันกับการร้องขอ วิงวอน จากเทพ ซึ่งเป็นการลดความเป็นมนุษย์ลงเป็นเพียงผู้ขอ จึงไม่ได้ตระหนักถึงศักยภาพความเป็นมนุษย์ที่จะอบรมตนจนสามารถที่จะเป็นเทพ เทวดาได้ แต่หนทางที่สูงส่งกว่าการเป็นเทวดา ก็คือการอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุความเป็นพระอริยะเป็นลำดับ ๆ ไป .

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เราจะพบว่าความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดียเกิดเนื่องจากการเกลื่อนกลืนทางศาสนาโดยฝีมือของฮินดู-พราหมณ์ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความสับสนในหลักคำสอนที่แท้จริงในพระพุทธศาสนาจนไม่อาจจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้

บัดนี้พุทธศาสนิกชนคนไทยก็กำลังจะสูญเสียพระพุทธศาสนาให้กับลัทธิความเห็นผิดต่าง ๆ ที่กำลังกลืนกินปัญญาของพุทธศาสนิกชนไป เราจึงเห็นการบูชา กราบไหว้ วิงวอน ร้องขอ จากองค์เทพฯ ยิ่งไปกว่านั้น หมู่ผู้ประกาศตนว่าเป็นภิกษุ เป็นสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าแต่กลับลดตัวลงเป็นเดียรถีย์ นอกศาสนา ทำพิธีปลุกเสกเครื่องรางของขลัง โดยหาได้ตระหนักแม้แต่น้อยไม่ว่า พระศาสดาทรงตรัสสอนให้สงฆ์สาวกและพุทธบริษัทดำเนินหนทางเช่นนั้นหรือไม่

หากพุทธบริษัทจะมีสติระลึกขึ้นมาบ้างว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษาเพื่อให้พุทธบริษัทกราบไหว้ วิงวอน ร้องขอ โชคลาภ สักการะจากวัตถุทั้งหลายกระนั้นหรือ ?? หรือว่าพระองค์ทรงสอนให้เป็นผู้อบรมตน เจริญปัญญาโดยการฟังธรรม พิจารณาธรรมที่ได้ฟัง ได้ศึกษาจนเข้าใจถูก เห็นถูก ละความเห็นผิดที่ปรกคลุมตนและสังคม

บทความนี้จึงหมายให้ผู้อ่านได้ระลึกเห็นความสำคัญของการเป็นผู้ละความเห็นผิด ละการกราบไหว้วิงวอนเพื่อขอโชคลาภ ความสำเร็จ แต่หวนกลับมาเป็นผู้มั่นคงในกรรมและผลของกรรมของตนเอง

No comments: