Thursday, June 7, 2007

บทความที่ ๑๕๐. ส.ศิวรักษ์ลอกคราบชนชั้นกฎุมพีของตน ตอนที่ ๖

ส.ศิวรักษ์ลอกคราบชนชั้นกฎุมพีของตน
ตอนที่ ๖

จริงอยู่ ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้ารังเกียจคนอย่างสฤษดิ์ ธนะรัชต์มาแล้ว แต่ข้าพเจ้าเข้าใจว่า (๑) รังเกียจความเป็นเผด็จการของเขา (๒)รังเกียจวิถีชีวิตอันสกปรกโสมมและทุจริตคิดเบียดเบียนราษฎรของเขา (๓) รังเกียจวิธีการของทหารที่เข้ามารังแกพลเรือน ซึ่งย้อนหลังกลับไปรังเกียจคณะรัฐประหารด้วย หากคิดช้าไปประมาณ ๑ ทศวรรษเป็นอย่างน้อย (๔)รังเกียจวิถีแสวงหาความชอบธรรมของเขาด้วยการหันเข้าหาสถาบันพระมหากษัตริย์ ยกย่องเจ้านายและขุนเก่า รวมทั้งใช้สถาบันพระมาหากษัตริย์มาเป็นเครื่อมือ (ซึ่งจอมพล ป.เคยใช้มาและเลิกไปแล้วเมื่อไม่ได้ผลสมประสงค์) รับใช้กโลบายฆ่าไก่ให้ลิงกลัว(๕) รังเกียจวิธีการ “พัฒนา” ของเขาที่ช่วยให้คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง โดยที่มีอภิสิทธิ์อำนาจเข้ามามีอิทธิพลเหนือรัฐบาลโดยผ่านทหารยิ่งขึ้นทุกที

ต่อเมื่อถึงรัฐบาลสัญญาและสภาสนามม้าแล้วต่างหาก ที่ข้าพเจ้าจึงเกิดสติปัญญาขึ้นมา ไม่ว่าจะใช้พิธีกรรมทำท่าว่ามีความชอบธรรมใด ๆ ในการปกครอง ถ้าไม่ส่งไปหาประชาราษฎรโดยแท้จริงเพื่อให้เขาได้ใช้สิทธิของเขาอย่างจริงจังแล้วไซร้ รัฐบาลนั้น ๆ ไม่มีทางที่จะก้าวไปสู่ประชาธิปไตยได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงรังเกียจชิงชังรัฐบาลธานินทร์ยิ่งขึ้นไปอีก

แม้รัฐบาลพลเรือนทั้ง ๒ นี้ จะอ้างว่าไม่ได้โกงกินดังรัฐบาลสฤษดิ์ แต่ก็สนับสนุนทหารทางด้านเงินราชการลับ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการคอร์รัปชั่นขนาดใหญ่ จะผิดกันก็แต่ธานินทร์ใช้อำนาจเผด็จการเลวร้ายไปเสียยิ่งกว่าทหาร ในขณะที่สัญญามีอำนาจอันเป็นเผด็จการ แต่ใช้วิธีรอมชอมให้เห็นว่าเป็นคนดีที่ทำผิดเป็นเท่านั้นเอง

กล่าวโดยสรุปก็คือ ข้าพเจ้ามีความคิดทางด้านประชาธิปไตยที่พัฒนามาช้า โดยไม่ได้อาศัยการอ่านงานของนายปรีดี พนมยงค์มาเลยก็ว่าได้ ถึงอ่านก็มีอคติ โดยไม่พยายามทำความเข้าใจใด ๆ หากประสบการณ์สอนให้ตัวเอง หลังจากที่ได้ประสบพบเห็นราษฎรตาดำ ๆ เห็นความยากแค้นของเขา เห็นความสามารถของเขา ยิ่งรู้ซึ้งถึงวัฒนธรรมพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้าน เข้าใจรูปแบบการปกครองของชาวบ้าน โดยโยงไปหาสมัยโบราณ โยงไปหาพุทธปรัชญาว่าด้วยธรรมาธิปไตย และเข้าใจถึงความสำคัญของที่ตัวแก่น จึงเห็นคุณค่าของประชาธิปไตยที่แท้จริงมากขึ้น โดยที่ได้เผชิญกับรสอันร้อนและเผ็ดมากกับเผด็จการด้วยตัวเอง ตั้งแต่สมัยถนอม กิติขจร เรื่อยมาจนถึงธานินทร์ กรัยวิเชียร ฯลฯ

ยิ่งเห็นว่าการแก้ปัญหาของบ้านเมืองด้วยการแต่งตั้ง โดยเลือกอภิสิทธิ์ชนขึ้นมาบริหารงานแผ่นดิน โดยเชื่อความสามารถและความบริสุทธิ์ยุติธรรมของบุคคลนั้น เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว ไม่ว่าจะใช้สถาบันสูงส่งอันศักดิ์สิทธิ์มาเป็นแกนนำใด ๆ จะใช้อำนาจทหารอันเกรียงไกรใด ๆ และจะรังแกฝ่ายค้านคนต่าง ๆ ในระดับไหน ๆ ก็จะไม่มีทางพาประเทศชาติรอดพ้นคลื่นลมไปสู่สันติสุขได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จะถอยหลังเข้าคลองไปในทางที่รัฐประศาสน์นั้นไม่ได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่การถอยหรือคืนเข้าสู่บรมธรรมและย้อนหลังกลับไปสู่อดีตอย่างเข้าใจให้ถูกต้องถ่องแท้นั้นเป็นการสมควร แต่จะหวนกลับไปหาสมัยบ้านเมืองดีดังกรุงศรรีอยุธยาสมัยแรก หรือสมัยแผ่นดินพระจุลจอมเกล้าฯนั้น อย่าได้พึงหวัง เพราะในอดีตสมัยนั้น ๆ ก็มีความเลวร้ายอยู่มิใช่น้อย หากเราควรดูให้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียแล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยน้อมตนลงไปรับใช้ราษฎร ไม่ใช่ดูถูกดูแคลนราษฎร ชนิดที่อ้างว่าพวกนั้นเป็นไพร่ที่ไร้การศึกษา โดยเราสูงส่งกว่า

การคิดช่วยเหลือผู้ยากไร้ จากจุดยืนของคนที่สูงส่งกว่า โดยยื่นมือลงไปเอื้ออาทรให้พวกนั้นกระเตื้องขึ้นมา แต่พวกนั้นต้องห่างจากเราทั้งทางอำนาจและโภคทรัพย์ นับเป็นมิจฉาทิฏฐิโดยแท้ เพราะเราจะไม่แก้ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมของเรา เราขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีอหังการมมังการและละหวาดระแวง กลัวสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง เราจึงใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ทางไสยศาสตร์มอมเมาตัวเราเองและผู้อื่น โดยใช้กโลบายที่สกปรกโสมมต่าง ๆ ที่นับว่าเป็นอันตรายยิ่งนัก

ข้าพเจ้าเห็นว่าเวลานี้ คนที่คิดเช่นนี้ในหมู่ผู้ที่ถือตัวว่ามีการศึกษา ถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนในสังคม มีอยู่เป็นจำนวนมิใช่น้อย หลายคนต้องการกลับไปสู่สมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือสมัยราชาธิปไตยกันเลยทีเดียว ดังถ้อยคำที่พร่ำพรรณนาถึงสมัยราชาธิปไตยนั้น ล้วนเป็นไปโดยนัยบวกอย่างปราศจากข้อวิจารณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แม้จะต้องยอมรับกันว่าสฤษดิ์นั้นเป็นโสมม ทุจริต แต่ก็คิดเห็นกันว่าคนอย่างนี้จำเป็นสำหรับความอยู่รอดของบ้านเมืองและสถาบันหลัก ในทางรักษาสถานะเดิมในสังคม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่จำเป็นต้องพูดกันถึงความสุจริตยุติธรรมขั้นพื้นฐาน หากพูดกันถึงความอยู่รอดของชนชั้นบน โดยไม่เคยเข้าใจถึงความยากแค้นและการถูกรังแกของชนชั้นล่าง ๆ ลงไปอย่างแท้จริง

นึกเห็นกันเพียงว่าถ้าเกิดอุทกภัยวาตภัย หรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ก็เอาปัจจัยสี่ไปแจกบ้าง เท่านี้ก็เป็นงานประชาสัมพันธ์เพียงพอแล้วสำหรับชนชั้นปกครอง โดยเข้าใจว่าประชาชนยังต้องการเป็นฝุ่นเมือง เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน หรือข้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ โดยที่เวลานี้เรามีบาทามากคู่ที่ใส่ท็อปบู๊ทกันเสียด้วย แล้วจะไม่ให้คนของเราเป็นราษฎรที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างเคียงบ่า เคียงไหล่กับพวกอภิสิทธิ์ชนต่าง ๆ บ้างละหรือ

ประสิทธิภาพหรือความเด็ดขาดของระบบเผด็จการนั้น เป็นประโยชน์ต่อชนชั้นปกครองเท่านั้น โดยราษฎรตาดำ ๆ ต้องรับเวรรับกรรมจากพิษภัยอันปราศจากขบวนการยุติธรรมและปราศจากสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษยชนอย่างไม่ต้องสงสัย ใครสนับสนุนทฤษฎีและการปฏิบัติเช่นนี้ มันจะเป็นมนุษย์ผู้มีธรรมประจำใจหาได้ไม่ หากเป็นเพียงอมนุษย์หรือรากษสในเรือนร่างของปุถุชนต่างหาก

No comments: