สงครามลับของ CIA ในลาว
บทที่ ๒๓ ควบคุมตัวเจ้าสุภานุวงศ์และคณะ
ช่วงเวลานั้นเจ้าสุภานุวงศ์และคณะยังคงพำนักอยู่ที่บ้านพักในเวียงจันทน์ซึ่งอยู่ตรงทางเข้าดงป่าสัก ส่วนท่านสิงกะโปที่อยู่ร่วมในคณะเจรจาในฐานะผู้แทนกองทัพ พักอยู่ที่บ้านรับรองค่ายโพนเค็งอันเป็นบ้านรับรองของทางทหาร
ถึงตอนนี้ ผุย ชนะนิกรได้ส่งกองทหารไปบิดล้อมบ้านพักรับรองของเจ้าสุภานุวงศ์และคณะในเวียงจันทน์ ทหารของแนวรักชาติ ๒ กองพันที่จะต้องมาสมทบกับกองทัพรัฐบาลแห่งชาติก็ถูกกองทหารของผุยที่ปิดล้อมไว้เช่นเดียวกันทั้งที่เชียงเงินและทุ่งไหหิน
ขณะเดียวกันท่านสิงกะโปซึ่งเป็นผู้แทนกองทัพของรัฐบาลแนวลาวรักชาติก็ถูกฝ่ายเวียงจันทน์เรียกตัวไปพบเรื่องการรวม ๒ กองพันเข้ากับกองทัพแห่งชาติและเรื่องยศทหาร โดยให้ท่านสิงกะโปสั่งให้ทหาร ๒ กองพันมอบอาวุธเก็บเข้าคลังทั้งหมด และมอบยศทหารให้ท่านในขั้นพันเอก
แต่โดยที่ปัญหาการเมืองยังไม่เรียบร้อย รัฐบาลผสมครั้งที่แล้วก็ถูกยุบเลิกไปแล้ว แล้วอย่างนี้จะสั่งให้มอบอาวุธเข้าคลังได้อย่างไร ท่านสิงกะโปจึงแจ้งกับพวกเวียงจันทน์ไปว่า ขอให้ปัญหาทางการเมืองได้รับการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงค่อยพูดปัญหาทางด้านการทหารกัน การเจรจาวันนั้นจึงไม่มีอะไรคืบหน้า
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ท่านสิงกะโปถูกเชิญไปพบครั้งที่สอง พวกเวียงจันทน์กล่าวว่า
“ครั้งแรกเห็นชอบให้ท่านคงยศพันเอกตามเดิม ให้ท้าวตู้เป็นพันโทและท่านเกเป็นพันตรี แต่บัดนี้เพื่อความเหมาะสมกับความรู้ความสามารถของแต่ละคน จึงเห็นสมควรจะลดแต่ละคนลงขั้นหนึ่ง”
ท่านสิงกะโปได้ยินเช่นนั้นรู้สึกโกรธจนเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ไม่ใช่เพราะถูกลดขั้น แต่เพราะวาจาปลิ้นปล้อน เมื่อพวกนั้นเห็นอาการโกรธ จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มว่า สำหรับท่านสิงกะโป อาจจะขึ้นขั้นให้เป็นนายพลก็ได้ พอได้ยินเช่นนั้นท่านก็ทุบโต๊ะเปรี้ยง กล่าวว่า
“เราคือนายทหารปฏิวัติ ไม่ใช่ทหารหุ่นรับจ้าง!”
ท่านสิงกะโปเล่าให้ฟังว่ายังจำสีหน้าของพวกนั้นได้อย่างแม่นยำไม่ลืม และเย็นวันนั้นเองพอกลับมาถึงเรือนพักรับรอง ท่านก็ถูกควบคุมตัวส่งเข้าคุกโพนเค็ง ซึ่งเป็นการเตรียมการณ์ไว้แล้ว
นับตั้งแต่ผุย ชนะนิกรและคณะขึ้นมากุมอำนาจ ได้เข่นฆ่าประชาชนลาวผู้รักชาติเสียมากต่อมาก แต่เพื่อตบตาลวงโลกว่าพวกเขาไม่เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ รัฐบาลผุย ชนะนิกรจึงเดินตามรอยตีนของรัฐบาลเผด็จการของไทย โดยการออกกฎหมายปราบปรามคอมมิวนิสต์และใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือในการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอย่างถูกกฎหมาย! เช่นเดียวกับที่รัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำกับประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์อยู่ในเวลานั้น
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๐๒ ผุย ชนะนิกรได้แถลงปฏิเสธสัญญาเจนีวา ด้วยเหตุผลว่าสัญญาเจนีวาเป็นเครื่องมือในการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ และประกาศไม่ยอมรับนับถือคณะกรรมการสากลควบคุมสงบศึกอินโดจีนที่มีอินเดียเป็นประธาน อันเป็นบาทก้าวมหาโหดที่จะไปจัดการกับ ๒ กองพัน และคณะแกนนำลาวรักชาติ ที่มีท่านสุภานุวงศ์เป็นประธาน
ช่วงเวลานั้นเจ้าสุภานุวงศ์และคณะยังคงพำนักอยู่ที่บ้านพักในเวียงจันทน์ซึ่งอยู่ตรงทางเข้าดงป่าสัก ส่วนท่านสิงกะโปที่อยู่ร่วมในคณะเจรจาในฐานะผู้แทนกองทัพ พักอยู่ที่บ้านรับรองค่ายโพนเค็งอันเป็นบ้านรับรองของทางทหาร
ถึงตอนนี้ ผุย ชนะนิกรได้ส่งกองทหารไปบิดล้อมบ้านพักรับรองของเจ้าสุภานุวงศ์และคณะในเวียงจันทน์ ทหารของแนวรักชาติ ๒ กองพันที่จะต้องมาสมทบกับกองทัพรัฐบาลแห่งชาติก็ถูกกองทหารของผุยที่ปิดล้อมไว้เช่นเดียวกันทั้งที่เชียงเงินและทุ่งไหหิน
ขณะเดียวกันท่านสิงกะโปซึ่งเป็นผู้แทนกองทัพของรัฐบาลแนวลาวรักชาติก็ถูกฝ่ายเวียงจันทน์เรียกตัวไปพบเรื่องการรวม ๒ กองพันเข้ากับกองทัพแห่งชาติและเรื่องยศทหาร โดยให้ท่านสิงกะโปสั่งให้ทหาร ๒ กองพันมอบอาวุธเก็บเข้าคลังทั้งหมด และมอบยศทหารให้ท่านในขั้นพันเอก
แต่โดยที่ปัญหาการเมืองยังไม่เรียบร้อย รัฐบาลผสมครั้งที่แล้วก็ถูกยุบเลิกไปแล้ว แล้วอย่างนี้จะสั่งให้มอบอาวุธเข้าคลังได้อย่างไร ท่านสิงกะโปจึงแจ้งกับพวกเวียงจันทน์ไปว่า ขอให้ปัญหาทางการเมืองได้รับการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงค่อยพูดปัญหาทางด้านการทหารกัน การเจรจาวันนั้นจึงไม่มีอะไรคืบหน้า
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ท่านสิงกะโปถูกเชิญไปพบครั้งที่สอง พวกเวียงจันทน์กล่าวว่า
“ครั้งแรกเห็นชอบให้ท่านคงยศพันเอกตามเดิม ให้ท้าวตู้เป็นพันโทและท่านเกเป็นพันตรี แต่บัดนี้เพื่อความเหมาะสมกับความรู้ความสามารถของแต่ละคน จึงเห็นสมควรจะลดแต่ละคนลงขั้นหนึ่ง”
ท่านสิงกะโปได้ยินเช่นนั้นรู้สึกโกรธจนเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ไม่ใช่เพราะถูกลดขั้น แต่เพราะวาจาปลิ้นปล้อน เมื่อพวกนั้นเห็นอาการโกรธ จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มว่า สำหรับท่านสิงกะโป อาจจะขึ้นขั้นให้เป็นนายพลก็ได้ พอได้ยินเช่นนั้นท่านก็ทุบโต๊ะเปรี้ยง กล่าวว่า
“เราคือนายทหารปฏิวัติ ไม่ใช่ทหารหุ่นรับจ้าง!”
ท่านสิงกะโปเล่าให้ฟังว่ายังจำสีหน้าของพวกนั้นได้อย่างแม่นยำไม่ลืม และเย็นวันนั้นเองพอกลับมาถึงเรือนพักรับรอง ท่านก็ถูกควบคุมตัวส่งเข้าคุกโพนเค็ง ซึ่งเป็นการเตรียมการณ์ไว้แล้ว
นับตั้งแต่ผุย ชนะนิกรและคณะขึ้นมากุมอำนาจ ได้เข่นฆ่าประชาชนลาวผู้รักชาติเสียมากต่อมาก แต่เพื่อตบตาลวงโลกว่าพวกเขาไม่เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ รัฐบาลผุย ชนะนิกรจึงเดินตามรอยตีนของรัฐบาลเผด็จการของไทย โดยการออกกฎหมายปราบปรามคอมมิวนิสต์และใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือในการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอย่างถูกกฎหมาย! เช่นเดียวกับที่รัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำกับประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์อยู่ในเวลานั้น
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๐๒ ผุย ชนะนิกรได้แถลงปฏิเสธสัญญาเจนีวา ด้วยเหตุผลว่าสัญญาเจนีวาเป็นเครื่องมือในการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ และประกาศไม่ยอมรับนับถือคณะกรรมการสากลควบคุมสงบศึกอินโดจีนที่มีอินเดียเป็นประธาน อันเป็นบาทก้าวมหาโหดที่จะไปจัดการกับ ๒ กองพัน และคณะแกนนำลาวรักชาติ ที่มีท่านสุภานุวงศ์เป็นประธาน
No comments:
Post a Comment