Friday, March 6, 2009

บทความที่๔๗๐.สงคราม๓๐ปีหลังประกาศเอกราชลาว(๑)

การอภิวัฒน์ของประชาชนลาว-สงคราม ๓๐ ปีหลังการประกาศเอกราช

บทที่ ๑ การกลับมาของฝรั่งเศสหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒

แม้ว่าคณะกรรมการราษฎรลาวจะได้ประกาศเอกราชและอิสรภาพในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๘๘ แต่ประเทศทั้งหลายยังไม่ให้การยอมรับเว้นแต่เวียดนามเท่านั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรนิยมฝรั่งเศสที่หมายมั่นจะกลับเข้ามาปกครองดินแดนในอินโดจีน แต่ก็ต้องเผชิญกับสงครามกองโจรที่เข้าโจมตีอย่างหนักหน่วงจากชาวเวียดนามภายใต้การนำของโฮจิมินห์ จนต้องมีการลงนามในสนธิสัญญายุติการสู้รบกันชั่วคราว

ก่อนหน้านี้ ในการประชุมที่ปอตสดัม เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๘ ได้กำหนดว่าหลังสงครามโลกยุติให้กองทหารจีนรับผิดชอบการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนอินโดจีนเหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ส่วนดินแดนใต้เส้นขนานที่ ๑๖ ลงไปให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกองทหารอังกฤษ ด้วยเหตุนี้เหล่าประเทศสัมพันธมิตรคือ จีน(รัฐบาลจีนคณะชาติของเจียงไคเช็ค)อังกฤษ และฝรั่งเศสได้ประชุมร่วมมือกันในการที่ครอบครองพื้นที่อินโดจีน

แต่สถานการณ์ในจีนแผ่นดินใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลง กองทัพก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คต้องสู้รบกับกองทัพแดงของนายพลจูเต๋อ ทำให้ต้องถอนกองทัพออกมาจากอินโดจีนส่งผลกระทบต่อการที่จะเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น ฝรั่งเศสจึงใช้โอกาสนี้เปิดการเจรจากับเจียงไคเช็คที่เมืองจุงกิง โดยเสนอที่จะคืนดินแดนจีนที่ฝรั่งเศสยึดครองไว้คือ เซี่ยงไฮ้ เทียนสิน หางโจว และกวางตุ้ง เพื่อแลกกับการกลับเข้ามาปกครองอินโดจีน ข้อเสนอของฝรั่งเศสได้รับการลงนามจากเจียงไคเช็คในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๙

ผลจากการลงนามในข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว เอื้ออำนวยให้ฝรั่งเศสทุ่มกองกำลังทหารคอมมานโดพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยเข้ามาในฮานอยเป็นจนวนถึง ๑๕,๐๐๐ คน และได้ส่งกองทหารอีกจำนวนหนึ่งกระจายอยู่ในภาคเหนือของเวียดนาม อีกส่วนหนึ่งกลับเข้าไปตั้งฐานบัญชาการอยู่ที่เมืองสิงและหลวงน้ำทาในภาคเหนือของลาว

หลังกองทหารญี่ปุ่นประกาศยอมจำนน และถอนตัวออกไปจากดินแดนลาวหมดแล้ว ทหารฝรั่งเศสกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ป่าเขาพยายามรวมตัวกันอีกครั้งโดยตั้งฐานบัญชาการอยู่ที่พูเขาควาย จัดแบ่งกำลังเป็นกรมกอง มีการส่งคนออกไปชักชวนชาวลาวให้มาร่วมเป็นทหาร และเริ่มเคลื่อนไหวปฏิบัติการทางทหารเพื่อกลับมาครอบครองลาวดังเดิม

ในช่วงแรก ทหารฝรั่งเศสจากพูเขาควายได้เคลื่อนกำลังประมาณ ๕๐๐ นายเข้ายึดเมืองทุระคม ทว่าถูกทหารจากองทัพราษฎร ภายใต้การนำของอำพอน พลราชซึ่งกำลังอยู่ทั้งสิ้นเพียง ๑๖๐ คนเข้าปฏิบัติการซุ่มโจมตีแบบกองโจรด้วยอาวุธเก่าที่ทหารญี่ปุ่นทิ้งไว้ จนทหารฝรั่งเศสต้องถอนกำลังกลับ

ในด้านยุทธศาสตร์ ทหารกองทัพราษฎรมีกำลังน้อยกว่ามาก และเพื่อหลบหลีกการปฏิบัติการโจมตีของกองทหารฝรั่งเศส จึงได้เคลื่อนย้ายกำลังไปตั้งอยู่ที่เมืองโพนโอง หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมา กำลังทหารฝรั่งเศสได้เคลื่อนพลกลับมายึดเมืองทุระคมอีกครั้ง แล้วใช้เป็นฐานในการส่งกำลังบำรุงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยทางเครื่องบิน

หลังกองทหารฝรั่งเศสระดมกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ได้มากแล้ว ก็เคลื่อนกำลังทหาร ๖๐๐ นายเข้ายึดบ้านท่าเดื่อซึ่งอยู่ตรงข้ามจังหวัดหนองคาย ในวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๙ กองบัญชาการกองทัพราษฎรที่เวียงจันทน์รายงานจากทหารด่านท่าเดื่อได้แจ้งให้ผู้บัญชาการทหารจีนในเวียงจันทน์ทราบ เพื่อมุ่งหวังให้กองทหารก๊กมินตั๋งที่เข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ได้ช่วยเจรจา

ผู้บัญชาการทหารก๊กมิ่นตั๋งได้ส่งผู้แทนทหารจีนเดินทางไปเจรจา ขอทราบวัตถุประสงค์ และขอให้ยุติการปฏิบัติการ ทว่าทหารฝรั่งเศสไม่สนใจและยิงใส่รถผู้แทนทหารจีนซึ่งติดธงชาติไว้ด้วย ผู้แทนทหารจีนจึงกลับมายังเวียงจันทน์และแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้กองบัญชาการกองทัพราษฎรทราบ กองบัญชาการกองทัพราษฎรจึงส่งกองกำลังลาว-เวียดนาม ออกไปปฏิบัติการต้านทานการรุกรบของกองทหารฝรั่งเศส การปะทะสู้รบดำเนินตั้งแต่เวลา ๑๗.๐๐ น.เรื่อยไปจนถึง ๐๔.๐๐ น.ของวันใหม่

สำหรับทหารเวียดนามนั้นเป็นกำลังทหารที่ฝ่ายเวียดมินห์ส่งมาช่วยเหลือ หลังให้การรับรองในเอกราช อิสรภาพของลาว รวมทั้งให้การรับรองรัฐบาลลาวอิสระที่ได้ก่อตั้งขึ้น และแม้ว่ากองทัพราษฎรและกองกำลังผสมลาว-เวียดนามจะมีกำลังทหารน้อยกว่าถึง ๑๐ ต่อ ๑ อาวุธด้อยประสิทธิภาพกว่า อีกทั้งเสียเปรียบในด้านยุทธภูมิ แต่ก็สามารถตีโต้จนทหารฝรั่งเศสได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ต้องถอยร่นลงไปยังชายฝั่งแม่น้ำโขง และแตกกระจายแยกย้ายหนี ขนทหารที่ได้รับบาดเจ็บส่วนหนึ่งข้ามไปรักษาที่หนองคาย อีกทั้งสูญเสียวอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมาก

ต่อมาทหารฝรั่งเศสกลับไปรวมตัวกันที่เมืองทุระคมอีกครั้ง และจัดแบ่งกำลังออกเป็นหมดหมู่ มีการส่งกำลังทหารมาเพิ่มทางเครื่องบิน เพื่อเตรียมปฏิบัติการครั้งใหญ่ คือรุกเข้าโจมตีเพื่อยึดกรุงเวียงจันทน์

กองทหารผสมลาว-เวียดนาม ได้ออกปฏิบัติการซุ่มโจมตีกองกำลังส่วนหน้าของฝรั่งเศสที่บ้านท่าง่อน ริมแม่น้ำงึม อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเคลื่อนกำลังเข้าโอบล้อมทหารฝรั่งเศสที่เมืองทุระคม ในวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๙ การสู้รบดำเนินอย่างต่อเนื่องตลอดสองวัน ในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๘๙ เวลาประมาณ ๐๕.๐๐ น.กองทหารฝรั่งเศสอีกกองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านท่ามั่งได้ยกกำลังมาถึงและกระจายกำลังกันเข้าโอบล้อมกองทหารผสมลาว-เวียดนาม กว่าจะตีแหวกวงล้อมออกมา ก็ต้องสูญเสียกำลังทหารไปเป็นจำนวนมาก

นับแต่นั้นเป็นต้นมา กองทหารผสมลาว-เวียดนามและกองทัพราษฎรได้ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ หันมาใช้วิธีการรบแบบกองโจรเพื่อสงวนกำลังที่มีอยู่ไม่มากนัก และออกปฏิบัติการซุ่มโจมตีทหารฝรั่งเศสเป็นครั้งคราว

No comments: