Thursday, April 9, 2009

ลำดับ๕๔๓.วังเปา(๓)

บทที่ ๓

ในปี ๒๔๙๗ หน่วยทหารฝรั่งเศสได้สร้างป้อมปราการขนาดใหญ่ขึ้นในหุบเขาที่เดียนเบียนฟู พื้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างเวียดนามตอนเหนือกับลาว พวกเขาหวังจะสะกัดการรุกคืบเข้ามาในลาวของพวกเวียดมินห์ในตอนที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดมินห์เริ่มโจมตีหนักขึ้น โดยใช้อาวุธหนักยิงถล่มทหารฝรั่งเศสที่ตั้งรับอยู่ในสนามเพลาะ นอกจากนั้นยังใช้ ป.ต.อ.ยิงเข้าใส่เครื่องบินที่ลำเลียงเสบียงและอาวุธเข้ามาบริเวณฐานที่มั่น วังเปาถูกส่งให้นำกำลังทหารชาวม้งจำนวนประมาณ ๔๐๐ คนเข้าก่อกวนทหารเวียดมินห์ แต่วังเปาและพรรคพวกยังไปไม่ถึง เดียนเบียนฟูก็ถูกตีแตก เช้าวันรุ่งขึ้นการประชุมที่นครเจนีวาเรื่องการถอนตัวของฝรั่งเศสออกจากอาณานิคมอินโดจีนได้เริ่มต้นขึ้น

ในปีต่อๆมา เมื่อฝรั่งเศสถอนกำลังทหารออกไปเรื่อยๆ สหรัฐอเมริกาก็เข้ามาแทนที่ วังเปาได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยเอก และจากนั้นเป็นพันตรีในกองทัพของราชอาณาจักรลาว ต่อมาในปี ๒๕๐๒ วังเปาได้พบกับหน่วยทหารของกองทัพสหรัฐฯและพวกเจ้าหน้าที่ซีไอเอเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นพวกอเมริกันไม่ได้สนใจที่จะใช้พวกม้งทำสงครามกองโจร แต่แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในเดือนสิงหาคม ๒๕๐๓ โดยร้อยเอกกองแล ก็ได้นำลาวเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง

วังเปารู้ว่ากองแลก็เหมือนกับนายพลลาวลุ่มทั้งหลายที่โกงกิน ยักยอกเงินช่วยเหลือจากอเมริกัน พวกเหล่านี้เสวยสุขจนเกิดพอดี และไม่ช้าฝ่ายรัฐบาลเป็นกลางของกองแลก็จะถูกฝ่ายแนวลาวรักชาติและเวียดนามเหนือแทรกซึม วังเปาเห็นว่าศัตรูของเขาคือพวกเวียดนามเหนือดังนั้นเขาจึงสนับสนุนพวกลาวฝ่ายขวา(นิยมกษัตริย์) พวกชาวเขาก็คิดเหมือนวังเปารวมทั้งเจ้าสักขามก็เช่นกัน แต่โทบี้ ลายฟองเอนไปสนับสนุนทางฝ่ายเป็นกลางซึ่งขณะนั้นเขาอยู่ในเวียงจันทน์ วังเปาจึงไม่สามารถติดต่อกับเขาได้

วังเปาได้รับฉันทาคติจากคนในเผ่า เขาก็พร้อมจะลุยไปข้างหน้า พวกทหารม้งที่เคยรบร่วมกับเขาในสมัยฝรั่งเศสก็ได้กลับมารวมตัวกัน วังเปาได้เป็นทั้งผู้นำของเผ่าและเป็นผู้บัญชาการทหารฝ่ายนิยมกษัตริย์ในเขตทุ่งไหหินไปพร้อมๆกัน

แต่เมื่อฝ่ายเป็นกลางของกองแลได้หันไปพึ่งกองทหารฝายแนวลาวรักชาติของเจ้าสุภานุวงศ์โดยมีรัสเซียสนับสนุนอาวุธหนักให้ วังเปาจึงตัดสินใจล่าถอยและระดมคนของเขาเข้าทำการสู้รบแบบกองโจรในเขตภูเขา

วังเปาออกเดินเท้าพร้อมด้วยเจ้าสักขาม ทหารและชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปตามถนนเส้นทางเล็กๆทางตะวันออกเฉียงใต้ของทุ่งไหหินจนไปถึงหมู่บ้านทาเวียง ที่นั่นเขาได้พบกับหน่วยพารูและบิล แลร์ ซึ่งแลร์ก็พิจารณาและรู้ว่าวังเปาคือคนที่เขาต้องการในสงครามผลาญชาติลาว

เมื่อพวกเขานั่งลงหารือถึงแผนการณ์ แลร์ถามว่าวังเปามีแผนจะดำเนินการอย่างไรต่อไป วังเปาตอบว่า “ภูเขาเป็นของเรา เราไปมาหาสู่กับพวกคอมมิวนิสต์ พวกเขาเข้ามาบริเวณนี้หลายปีแล้ว พวกคนของฉันเข้ากับพวกเขาไม่ได้ วิถีชีวิตของเราแตกต่างกันเกินไป เรามีทางเลือกเพียงสองทาง คือต่อสู้หรือทิ้งถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น เราไม่มีทางเลือกอื่น แต่หากคุณให้อาวุธแก่เรา เราก็จะรู้กับพวกมัน”

“คุณคิดว่าจะติดอาวุธคนได้สักเท่าไร” แลร์ถามต่อ

“อย่างน้อยหนึ่งหมื่นคน”

๙ ปีเต็มๆที่ แลร์สร้างกองกำลังขนาด ๔๐๐ คนเท่านั้น เขาเรียนรู้จักคนเอเซีย ได้พบพวกตลบแตลงจอมปลอมมากมาย แต่เมื่อมองวังเปา แลร์เชื่อว่าวังเปาไม่ใช่คนพูดจากใหญ่โตเกินจริง

“ถ้าพวกม้งติดอาวุธ พวกเขาจะพยายามแยกตัวเป็นอิสระหรือจะยังภักดีต่อรัฐบาลกลางของลาว?” แลร์ถาม

“ฉันภักดีต่อกษัตริย์ลาวเสมอ” วังเปาตอบกลับมาทันที

“ทั้งรัฐบาล(ฝ่ายขวา)และสหรัฐอเมริกาต่างไม่อยู่ในฐานะจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องอิสรภาพของชาวม้ง คนของพวกคุณต้องการอะไร คุณรู้มั๊ย?”

วังเปาตอบว่า “พวกเขาต้องการรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมเอาไว้มีผู้นำของพวกเขาเอง พวกเขาต้องการต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์ พวกเขาจะเดินตามฉันและฉันจงรักภักดีต่อกษัตริย์”

“ผมจะลองดูว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง” แลร์เอ่ยขึ้นในที่สุด

No comments: