บทที่ ๒
บันทึกของ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ กล่าวต่อไปอีกว่า
“ตำรวจเก่าสองคนรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ของลาวมากก็จริง แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนั้น ผู้ใหญ่ที่ไหนจะมาช่วยได้ ต่างก็ต้องช่วยตัวเองทั้งนั้น ผมก็เลยต้องถอยรถออก ขนข้าวของในร้านขึ้นรถ… เขาประกาศว่าเที่ยงตรงถ้ายังตกลงกันไม่ได้ทางฝ่ายนายพลกุปะสิดจะเริ่มยิงทันที เขาจะตกลงกันเรื่องอะไรเราก็ไม่รู้ และตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว กะเอาข้าวของไปไว้ที่สถานทูตเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาตัวเปล่า มาดูเหตุการณ์ที่ร้าน ขนข้าวของขึ้นรถเสร็จ ผมก็ทำหน้าที่สารถีให้เขา พ่อประชา(ประชา พูนวิวัฒน์)เขาขออยู่เฝ้าร้าน ผมก็ไม่ว่าอะไร เอาของไปเก็บฝากท่านทูตไว้แล้วก็จะกลับมาอยู่ดูเหตุการณ์ด้วยกัน
ผมบึ่งรถไปสถานทูต ระหว่างทางก็เจอเอาด่านตรวจเข้าบ้างสองสามแห่ง บอกเขาว่าเราเป็นคนไทยจะไปสถานทูต เขาก็ปล่อยให้ไป แถมยังไล่ให้ไปเร็วๆ เพราะจะถึงเวลาขีดเส้นตายแล้ว คือใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว รถผมถึงสถานทูต ขณะนั้นคุณเดช ตาละภัฏหรือพี่เดชของผมเป็นเลขาฯเอกอยู่ที่นั่น พี่เดชเคยอยู่สถานทูตฝรั่งเศสมาก่อน และตอนที่ผมอพยพไปอยู่เจนีวาก็พบกันบ่อยๆ รักใคร่ชอบพอกันดี…
บ้านพักพี่เดชอยู่ด้านหลังตัวตึกสถานทูตใกล้กันเพียงเดินสามสี่ก้าวถึง เป็นบ้านพักเลขานุการเอกตามตำแหน่งของพี่เดช พี่เดชไม่ได้ไปไหนอยู่ฟังเหตุการณ์อยู่ที่บ้าน ที่สถานทูตคงจะไม่มีอะไรมายุ่ง ผมก็ขนของขึ้นบ้านพี่เดช
นั่งคุยอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงเที่ยง เสียงปืนดังได้ยินชัดเป็นเสียงปืนใหญ่ แล้วก็ได้ยินเสียงลูกปืนตกระเบิดไม่ไกลจากสถานทูตนัก มีควันขึ้นขโมงทางด้านบ้านนายพลภูมีและทางโพนเค็งซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการของตำรวจและกรมประสานงาน
เราก็ออกมาดูควันไฟกันสนุก เขายิงข้ามหัวเราไป มีทหารประมาณหนึ่งหมู่วิ่งลัดเลาะมา หมอบกำบังอยู่ที่ข้างรั้วลวดหนามข้างบ้านพี่เดช พอเห็นเราเข้า ตัวผู้บังคับหมู่ก็ขออนุญาต เราจะนำกำลังผ่านเข้ามาในบ้านเพื่อออกไปอีกทางหนึ่ง พี่เดชบอกว่าไม่ได้ ที่นี่เป็นสถานทูตไทยเราให้ใครผ่านไม่ได้ เขาก็ยังกำลังอ้อมไปทางด้านหน้าซึ่งเป็นถนนสายตรงที่จะไปยังบ้านนายพลภูมีและโพนเค็ง
ทางบ้านของนายพลภูมีโดนยิง ไฟลุกท่วม มีควันและไฟขึ้นโขมง ยิงแม่นเสียด้วย เรียกว่าหยอดลงหลุมลงตรงบ้านพอดี สักประเดี๋ยวก็มีรถโฟล์คตู้วิ่งมาจากทางบ้านนายพลภูมี เลี้ยวเข้ามาในสถานทูต ผู้ขับมาเป็นนายทหารไทย ร้อยเอกที่ทางไทยส่งมาอยู่กับนายพลภูมีมีคนในรถสี่ห้าคน เป็นนายทหารของหน่วยนั้น บอกว่าบ้านนายพลภูมีวอดไปแล้ว ตัวนายพลภูมีกับพรรคพวกหนีออกไปจากบ้านหมดแล้ว เขาจึงต้องหนีมาเข้าสถานทูต
กำลังพูดคุยซักถามกันอยู่ที่บ้านของพี่เดชนั่น ผมได้ยินเสียงดัง “วี๊ด” ยาวๆมาทางเหนือหัว เสียงนี้ผมคุ้นดี ผมก็ร้องบอกพวกนั้นว่า
“ใช่แล้ว หลบเข้าบ้าน” แล้วผมก็โดดแผล็วเดียวเข้าไปหมอบอยู่ในห้องรับแขกบ้านพี่เดช พวกที่อยู่ด้วยกันไม่ทราบว่าใครโดดไปทางไหน ผมเอาทางสั้นไว้ก่อน
เสียงระเบิดดัง ตูม ตูม ตกลงมาใกล้ๆกับที่ๆผมยืนอยู่เมื่อกี้นี้เพียงไม่ถึงเมตร ประกายไฟแลบมาเข้านัยน์ตาผมที่หมอบอยู่ไม่ห่างจากที่นั้นเท่าไรนัก ผมนอนราบก้มหัวนิ่งอยู่อย่างนั้น เสียงวี๊ดยาวๆดังมาอีก ทีนี้มันหล่นลงมาบนหลังคาบ้านพี่เดชเหนือหัวผมนี่เอง
เสียงระเบิดดังสนั่นแก้วหูอยู่บนหัวผม เสียงดังเป็นชุดๆ ชุดละสี่นัด ผมนับไว้ในใจ พอเสียงนัดที่สี่ผ่านไป ผมก็เผ่นแผล็วออกมาจากบ้านพี่เดช วิ่งไปทางตึกใหญ่ของสถานทูตเพราะที่นั่นหลังคาแน่นหนากว่าและเป็นตึกสองชั้น พวกที่หลบอยู่กับผมในตอนแรกก็วิ่งตามออกมาด้วย เข้าไปในตัวตึกใหญ่ ท่านทูตจรูญพันธ์อยู่ในห้องรับแขก หมอบหลบอยู่ที่นั่น พวกผมก็ตามเข้าไปหลบอยู่ด้วย
บันทึกของ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ กล่าวต่อไปอีกว่า
“ตำรวจเก่าสองคนรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ของลาวมากก็จริง แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนั้น ผู้ใหญ่ที่ไหนจะมาช่วยได้ ต่างก็ต้องช่วยตัวเองทั้งนั้น ผมก็เลยต้องถอยรถออก ขนข้าวของในร้านขึ้นรถ… เขาประกาศว่าเที่ยงตรงถ้ายังตกลงกันไม่ได้ทางฝ่ายนายพลกุปะสิดจะเริ่มยิงทันที เขาจะตกลงกันเรื่องอะไรเราก็ไม่รู้ และตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว กะเอาข้าวของไปไว้ที่สถานทูตเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาตัวเปล่า มาดูเหตุการณ์ที่ร้าน ขนข้าวของขึ้นรถเสร็จ ผมก็ทำหน้าที่สารถีให้เขา พ่อประชา(ประชา พูนวิวัฒน์)เขาขออยู่เฝ้าร้าน ผมก็ไม่ว่าอะไร เอาของไปเก็บฝากท่านทูตไว้แล้วก็จะกลับมาอยู่ดูเหตุการณ์ด้วยกัน
ผมบึ่งรถไปสถานทูต ระหว่างทางก็เจอเอาด่านตรวจเข้าบ้างสองสามแห่ง บอกเขาว่าเราเป็นคนไทยจะไปสถานทูต เขาก็ปล่อยให้ไป แถมยังไล่ให้ไปเร็วๆ เพราะจะถึงเวลาขีดเส้นตายแล้ว คือใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว รถผมถึงสถานทูต ขณะนั้นคุณเดช ตาละภัฏหรือพี่เดชของผมเป็นเลขาฯเอกอยู่ที่นั่น พี่เดชเคยอยู่สถานทูตฝรั่งเศสมาก่อน และตอนที่ผมอพยพไปอยู่เจนีวาก็พบกันบ่อยๆ รักใคร่ชอบพอกันดี…
บ้านพักพี่เดชอยู่ด้านหลังตัวตึกสถานทูตใกล้กันเพียงเดินสามสี่ก้าวถึง เป็นบ้านพักเลขานุการเอกตามตำแหน่งของพี่เดช พี่เดชไม่ได้ไปไหนอยู่ฟังเหตุการณ์อยู่ที่บ้าน ที่สถานทูตคงจะไม่มีอะไรมายุ่ง ผมก็ขนของขึ้นบ้านพี่เดช
นั่งคุยอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงเที่ยง เสียงปืนดังได้ยินชัดเป็นเสียงปืนใหญ่ แล้วก็ได้ยินเสียงลูกปืนตกระเบิดไม่ไกลจากสถานทูตนัก มีควันขึ้นขโมงทางด้านบ้านนายพลภูมีและทางโพนเค็งซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการของตำรวจและกรมประสานงาน
เราก็ออกมาดูควันไฟกันสนุก เขายิงข้ามหัวเราไป มีทหารประมาณหนึ่งหมู่วิ่งลัดเลาะมา หมอบกำบังอยู่ที่ข้างรั้วลวดหนามข้างบ้านพี่เดช พอเห็นเราเข้า ตัวผู้บังคับหมู่ก็ขออนุญาต เราจะนำกำลังผ่านเข้ามาในบ้านเพื่อออกไปอีกทางหนึ่ง พี่เดชบอกว่าไม่ได้ ที่นี่เป็นสถานทูตไทยเราให้ใครผ่านไม่ได้ เขาก็ยังกำลังอ้อมไปทางด้านหน้าซึ่งเป็นถนนสายตรงที่จะไปยังบ้านนายพลภูมีและโพนเค็ง
ทางบ้านของนายพลภูมีโดนยิง ไฟลุกท่วม มีควันและไฟขึ้นโขมง ยิงแม่นเสียด้วย เรียกว่าหยอดลงหลุมลงตรงบ้านพอดี สักประเดี๋ยวก็มีรถโฟล์คตู้วิ่งมาจากทางบ้านนายพลภูมี เลี้ยวเข้ามาในสถานทูต ผู้ขับมาเป็นนายทหารไทย ร้อยเอกที่ทางไทยส่งมาอยู่กับนายพลภูมีมีคนในรถสี่ห้าคน เป็นนายทหารของหน่วยนั้น บอกว่าบ้านนายพลภูมีวอดไปแล้ว ตัวนายพลภูมีกับพรรคพวกหนีออกไปจากบ้านหมดแล้ว เขาจึงต้องหนีมาเข้าสถานทูต
กำลังพูดคุยซักถามกันอยู่ที่บ้านของพี่เดชนั่น ผมได้ยินเสียงดัง “วี๊ด” ยาวๆมาทางเหนือหัว เสียงนี้ผมคุ้นดี ผมก็ร้องบอกพวกนั้นว่า
“ใช่แล้ว หลบเข้าบ้าน” แล้วผมก็โดดแผล็วเดียวเข้าไปหมอบอยู่ในห้องรับแขกบ้านพี่เดช พวกที่อยู่ด้วยกันไม่ทราบว่าใครโดดไปทางไหน ผมเอาทางสั้นไว้ก่อน
เสียงระเบิดดัง ตูม ตูม ตกลงมาใกล้ๆกับที่ๆผมยืนอยู่เมื่อกี้นี้เพียงไม่ถึงเมตร ประกายไฟแลบมาเข้านัยน์ตาผมที่หมอบอยู่ไม่ห่างจากที่นั้นเท่าไรนัก ผมนอนราบก้มหัวนิ่งอยู่อย่างนั้น เสียงวี๊ดยาวๆดังมาอีก ทีนี้มันหล่นลงมาบนหลังคาบ้านพี่เดชเหนือหัวผมนี่เอง
เสียงระเบิดดังสนั่นแก้วหูอยู่บนหัวผม เสียงดังเป็นชุดๆ ชุดละสี่นัด ผมนับไว้ในใจ พอเสียงนัดที่สี่ผ่านไป ผมก็เผ่นแผล็วออกมาจากบ้านพี่เดช วิ่งไปทางตึกใหญ่ของสถานทูตเพราะที่นั่นหลังคาแน่นหนากว่าและเป็นตึกสองชั้น พวกที่หลบอยู่กับผมในตอนแรกก็วิ่งตามออกมาด้วย เข้าไปในตัวตึกใหญ่ ท่านทูตจรูญพันธ์อยู่ในห้องรับแขก หมอบหลบอยู่ที่นั่น พวกผมก็ตามเข้าไปหลบอยู่ด้วย
No comments:
Post a Comment