บทที่ ๒
นับแต่เดือนมกราคม ถึง มีนาคม ๒๕๐๕ กำลังรบของภูมีภายใต้การบัญชาของจักรวรรดินิยมอเมริกาถึง ๓๓ กองพัน ได้รุกล้ำเส้นหยุดยิงตามสัญญาสงบศึกขึ้นไปทางภาคเหนือถึง ๗๐ไมล์เพื่อยึดเมืองเล็กๆสามเมือง แต่ถูกกองทหารแนวลาวรักชาติกับทหารฝ่ายเป็นกลางตีโต้ยึดเมืองทั้งสามกลับคืนมาได้ ทหารภูมีแตกถอยไปทางหุบเขาใกล้เมืองน้ำทาสมทบกับทหารของเขาที่นั่น ซึ่งมีกำลังพลรรวมกันประมาณ ๗,๐๐๐ คน แต่แล้วก็ต้องไปจนมุมที่นั้น เพราะถูกทหารของแนวลาวรักชาติและทหารเป็นกลางล้อมเอาไว้ ไม่อาจตีฝ่าวงล้อมออกไปได้
นายพลสิงกะโป ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารผสมสูงสุดของแนวลาวรักชาติและฝ่ายเป็นกลาง ไม่ได้ส่งทหารของตนเข้ามาบดขยี้ทหารของภูมีที่อยู่ในวงล้อม เพียงแต่สกัดกั้นไว้เฉยๆ แต่ก็ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดออกไปได้ จึงทำให้ทหารถึง ๗,๐๐๐คน ไปแออัดอยู่ในหุบเขาแห่งนั้น
นายพลสิงกะโป กล่าวว่าที่ท่านไม่ส่งทหารของตนเข้าบดขยี้ก็เพราะไม่ต้องการให้คนลาวฆ่ากันเองโดยไม่จำเป็น เพราะถึงอย่างไรทหารภูมีที่อยู่ในวงล้อมก็ไม่มีทางออกอยู่แล้ว อากาศก็หนาวจัด ไข้ก็ชุกชุม และโดยประการสำคัญ เสบียงอาหารก็มีอยู่จำกัด และการขนส่งก็มีอยู่ทางเดียวคือทางเครื่องบินจากเมืองสินซึ่งอยู่ห่างออกไป ๖๐ ไมล์
ต่อมาการขนส่งเสบียงอาหารทางอากาศจากเมืองสินก็มีปัญหา ทหารที่ถูกล้อมอยู่ในหุบเขาจึงเกิดความระส่ำระสายเพราะขาดเสบียงอาหาร ภูมีพยายามส่งกำลังมาช่วยแต่ก็ถูกดักโจมตีเสียก่อนที่จะมาถึง เมื่อหมดหวังเช่นนั้นทหารที่อยู่ในวงล้อมจึงพยายามหนีออกไปทางด้านตะวันตก เป็นการหนีอย่างเตลิดเปิดเปิงไม่คิดสู้รบ ทำให้กองทหารที่รักษาเมืองน้ำทาอยู่พลอยแตกตื่นตกใจไปด้วย ทั้งๆที่ตลอดเวลา ๔ เดือนที่ถูกปิดล้อม ทหารของฝ่ายปเทดลาวไม่เคยย่างกรายเข้ามาให้เห็นเลย
ปรากฏว่าทหารที่เตลิดหนีจากวงล้อมและทหารที่เมืองน้ำทา ทั้งพลและนายแตกตื่นกันข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาไทย ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้เป็นจำนวนมากรวมทั้งปืนใหญ่ด้วย นับเป็นความพ่ายแพ้ที่สุดของภูมี เป็นการกำราบความโอหังของภูมีที่ขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลผสมตลอดมา
อย่างไรก็ดี ข่าวทหารภูมีถูกล้อมอยู่ถึง ๔ เดือนนี้ ทั่วโลกไม่รู้เรื่องเลย รู้แต่เพียงว่าฝ่ายปเทศลาวละเมิดข้อตกลงสงบศึก โจมตีทหารภูมี หน่อสวัน จนแตกหนีเข้ามาไทยตามโฆษณาชวนเชื่อของวอชิงตันเท่านั้น
นับแต่เดือนมกราคม ถึง มีนาคม ๒๕๐๕ กำลังรบของภูมีภายใต้การบัญชาของจักรวรรดินิยมอเมริกาถึง ๓๓ กองพัน ได้รุกล้ำเส้นหยุดยิงตามสัญญาสงบศึกขึ้นไปทางภาคเหนือถึง ๗๐ไมล์เพื่อยึดเมืองเล็กๆสามเมือง แต่ถูกกองทหารแนวลาวรักชาติกับทหารฝ่ายเป็นกลางตีโต้ยึดเมืองทั้งสามกลับคืนมาได้ ทหารภูมีแตกถอยไปทางหุบเขาใกล้เมืองน้ำทาสมทบกับทหารของเขาที่นั่น ซึ่งมีกำลังพลรรวมกันประมาณ ๗,๐๐๐ คน แต่แล้วก็ต้องไปจนมุมที่นั้น เพราะถูกทหารของแนวลาวรักชาติและทหารเป็นกลางล้อมเอาไว้ ไม่อาจตีฝ่าวงล้อมออกไปได้
นายพลสิงกะโป ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารผสมสูงสุดของแนวลาวรักชาติและฝ่ายเป็นกลาง ไม่ได้ส่งทหารของตนเข้ามาบดขยี้ทหารของภูมีที่อยู่ในวงล้อม เพียงแต่สกัดกั้นไว้เฉยๆ แต่ก็ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดออกไปได้ จึงทำให้ทหารถึง ๗,๐๐๐คน ไปแออัดอยู่ในหุบเขาแห่งนั้น
นายพลสิงกะโป กล่าวว่าที่ท่านไม่ส่งทหารของตนเข้าบดขยี้ก็เพราะไม่ต้องการให้คนลาวฆ่ากันเองโดยไม่จำเป็น เพราะถึงอย่างไรทหารภูมีที่อยู่ในวงล้อมก็ไม่มีทางออกอยู่แล้ว อากาศก็หนาวจัด ไข้ก็ชุกชุม และโดยประการสำคัญ เสบียงอาหารก็มีอยู่จำกัด และการขนส่งก็มีอยู่ทางเดียวคือทางเครื่องบินจากเมืองสินซึ่งอยู่ห่างออกไป ๖๐ ไมล์
ต่อมาการขนส่งเสบียงอาหารทางอากาศจากเมืองสินก็มีปัญหา ทหารที่ถูกล้อมอยู่ในหุบเขาจึงเกิดความระส่ำระสายเพราะขาดเสบียงอาหาร ภูมีพยายามส่งกำลังมาช่วยแต่ก็ถูกดักโจมตีเสียก่อนที่จะมาถึง เมื่อหมดหวังเช่นนั้นทหารที่อยู่ในวงล้อมจึงพยายามหนีออกไปทางด้านตะวันตก เป็นการหนีอย่างเตลิดเปิดเปิงไม่คิดสู้รบ ทำให้กองทหารที่รักษาเมืองน้ำทาอยู่พลอยแตกตื่นตกใจไปด้วย ทั้งๆที่ตลอดเวลา ๔ เดือนที่ถูกปิดล้อม ทหารของฝ่ายปเทดลาวไม่เคยย่างกรายเข้ามาให้เห็นเลย
ปรากฏว่าทหารที่เตลิดหนีจากวงล้อมและทหารที่เมืองน้ำทา ทั้งพลและนายแตกตื่นกันข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาไทย ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้เป็นจำนวนมากรวมทั้งปืนใหญ่ด้วย นับเป็นความพ่ายแพ้ที่สุดของภูมี เป็นการกำราบความโอหังของภูมีที่ขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลผสมตลอดมา
อย่างไรก็ดี ข่าวทหารภูมีถูกล้อมอยู่ถึง ๔ เดือนนี้ ทั่วโลกไม่รู้เรื่องเลย รู้แต่เพียงว่าฝ่ายปเทศลาวละเมิดข้อตกลงสงบศึก โจมตีทหารภูมี หน่อสวัน จนแตกหนีเข้ามาไทยตามโฆษณาชวนเชื่อของวอชิงตันเท่านั้น
No comments:
Post a Comment