บทที่ ๓
บันทึกเหตุการณ์ของ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ ในคราวที่มีการปะทะกันของนายพลลาวจน ภูมีต้องหนีตายมาเมืองไทย มีต่อไปอีกว่า
“ทีนี้ระเบิดก็ตามมาที่ตัวตึกใหญ่ แต่มันกระทบแตกเสียที่หลังคาตึก ไม่ทะลุทะลวงลงมา คงจะเป็นพวกระเบิดสังหารชนิดกระทบแตก ไม่ใช่พวกชนวนถ่วงเวลา ถ้าเป็นพวกหลังนี่ก็คงเรียบร้อยไม่รู้ว่าโรงเรียนจีนหรือฝรั่ง ไม่รู้ว่าเขายิงด้วยปืนอะไร และยิงมาจากที่ไหนถึงได้แม่นยำอย่างนั้น ผมเดาเอาว่าคงไม่ไกลจากที่นั่น และคงจะมาจากที่ตั้งบนอนุสาวรีย์ประตูชัยที่อยู่ตรงหัวถนนที่จะมายังสถานทูตนั่นเอง ไม่ยังงั้นคงจะไม่เห็นที่หมายชัดเจนและยิงได้แม่นยำอย่างนั้น แต่ว่าเขายิงมาที่สถานทูตทำไม
ผมเดาเอาว่าคงจะเป็นเพราะรถตู้ของนายทหารคนนั้น เพราะพอรถคันนั้นเลี้ยวเข้าสถานทูตไม่ถึงห้านาที ลูกปืนก็ตามมาระเบิดที่บ้านพี่เดชทันที พวกทหารที่อยู่บนอนุสาวรีย์เห็นได้ชัดเจน เพราะเป็นทางตรงเขาอาจเข้าใจว่ารถคันนั้นขนเอาพวกนายพลภูมีเข้ามาพักพิงในสถานทูตไทยก็เป็นได้ สถานทูตก็สถานทูตซีวะ ยิงแม่งเลยเขาอาจคิดอย่างนั้นเอาง่ายๆ ไม่เข้าใจจะยิงซะอย่าง
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ภายหลังผมได้ถามพวกนายทหารที่รู้จักกัน เขาก็รับว่าเป็นอย่างนั้นจิรงๆ และเขาเองเป็นคนที่บังคับหน่วยปืนหน่วยนั้น ผมบอกเขาว่าผมเองก็หลบลูกกระสุนของเขาอยู่ในสถานทูตในวันนั้น “ฮ่วย อันหยังบ่ตีสายมาบอก” ว่าไปยังงั้นเสียอีก
ท่านทูตกับผมนอนหมอบหัวชนกันอยู่ข้างหลังเก้าอี้รับแขกตัวยาว ประเดี๋ยวท่านก็ลุกขึ้นไปตรวจตราดูเจ้าหน้าที่ของสถานทูตว่ามีใครเป็นอะไรกันบ้างด้วยความเป็นห่วงลูกน้อง เสียงคนข้างนอกตะโกนถามกันเดี๋ยวก็มีเสียงระเบิดตก ตูม ตูม ลงมาอีก เผ่นเข้าหลบกันเสียที”
“…ผมเตือนให้พวกที่ขนร่างพี่โชติขึ้นรถจะขับออกไปโรงพยาบาลนั้น ให้หาผ้าขาวมาทำเป็นธง ยื่นออกมานอกรถให้ทหารลาวที่อยู่ที่อนุสาวรีย์เห็นชัดๆ ไม่ยังงั้นก็ไม่แน่ว่าจะไม่ถูกยิงเอา เขาก็หาผ้าขาวมาทำธงแล้วให้คนที่นั่งคู่กับคนขับโบกธงขาวให้เห็นชัดๆ ได้ผล ทางทหารที่อนุสาวรีย์หยุดยิง และได้ผลยิ่งไปกว่านั้น คนขับรถแวะหยุดเจรจากับทหารที่มีบางส่วนยึดบริเวณข้างล่างอนุสาวรีย์นั้น ให้ทราบว่าเขาได้ยิงเอาเลขานุการสถานทูตบาดเจ็บเข้าให้แล้ว และทางสถานทูตเสียหายอย่างไรและบอกด้วยว่าในสถานทูตไม่มีใครเข้าไปอาศัยหลบภัยอยู่เลย มีแต่พวกคนไทยเท่านั้น นายพลภูมีหลบหนีข้ามฟากเข้าหนองคายไปแล้ว ทางฝ่ายทหารจึงหยุดยิงและไม่ได้ตอแยอะไรอีกเลย
นี่แหละครับ ลาว จะเอาอะไรนักหนาเรื่องความคุ้มกันทางการทูตนั้นไม่สำคัญ จะยิงซะอย่างใครจะทำไม สถานทูตสถานอะไรไม่รู้ทั้งนั้น ดีที่ยังไม่ถึงกับยกกำลังเข้ามายึดเอาดื้อๆ…สถานทูตน่ะหรือครับ เขาประท้วงไปเหมือนกัน เรียกร้องค่าเสียหายไปด้วย คำตอบที่ได้รับคือ รัฐบาลลาวขอแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยอมขอโทษในความผิดพลาดครั้งนี้ ส่วนค่าเสียหายนั้นรัฐบาลลาวบ่มีเงิน ขอโทษอย่างเดียวก็แล้วกัน..
นายพลภูมีพอหลับเข้าไทยได้ก็ดิ่งเข้ากรุงเทพฯเลย แล้วทราบมาว่าไปตั้งหลักฐานอยู่ทางปักษ์ใต้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย มีข่าวว่าขนทองข้ามมาตั้งยี่สิบสามสิบหีบ ผมไม่เชื่อ ขนมาขนาดนั้นจะเอามาได้ยังไง เอาคนที่ไหนมาขน เรือก็จะล่มกลางแม่น้ำโขง เอาสักยี่สิบสามสิบบาทจะยังพอฟังได้”
บันทึกเหตุการณ์ของ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ ในคราวที่มีการปะทะกันของนายพลลาวจน ภูมีต้องหนีตายมาเมืองไทย มีต่อไปอีกว่า
“ทีนี้ระเบิดก็ตามมาที่ตัวตึกใหญ่ แต่มันกระทบแตกเสียที่หลังคาตึก ไม่ทะลุทะลวงลงมา คงจะเป็นพวกระเบิดสังหารชนิดกระทบแตก ไม่ใช่พวกชนวนถ่วงเวลา ถ้าเป็นพวกหลังนี่ก็คงเรียบร้อยไม่รู้ว่าโรงเรียนจีนหรือฝรั่ง ไม่รู้ว่าเขายิงด้วยปืนอะไร และยิงมาจากที่ไหนถึงได้แม่นยำอย่างนั้น ผมเดาเอาว่าคงไม่ไกลจากที่นั่น และคงจะมาจากที่ตั้งบนอนุสาวรีย์ประตูชัยที่อยู่ตรงหัวถนนที่จะมายังสถานทูตนั่นเอง ไม่ยังงั้นคงจะไม่เห็นที่หมายชัดเจนและยิงได้แม่นยำอย่างนั้น แต่ว่าเขายิงมาที่สถานทูตทำไม
ผมเดาเอาว่าคงจะเป็นเพราะรถตู้ของนายทหารคนนั้น เพราะพอรถคันนั้นเลี้ยวเข้าสถานทูตไม่ถึงห้านาที ลูกปืนก็ตามมาระเบิดที่บ้านพี่เดชทันที พวกทหารที่อยู่บนอนุสาวรีย์เห็นได้ชัดเจน เพราะเป็นทางตรงเขาอาจเข้าใจว่ารถคันนั้นขนเอาพวกนายพลภูมีเข้ามาพักพิงในสถานทูตไทยก็เป็นได้ สถานทูตก็สถานทูตซีวะ ยิงแม่งเลยเขาอาจคิดอย่างนั้นเอาง่ายๆ ไม่เข้าใจจะยิงซะอย่าง
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ภายหลังผมได้ถามพวกนายทหารที่รู้จักกัน เขาก็รับว่าเป็นอย่างนั้นจิรงๆ และเขาเองเป็นคนที่บังคับหน่วยปืนหน่วยนั้น ผมบอกเขาว่าผมเองก็หลบลูกกระสุนของเขาอยู่ในสถานทูตในวันนั้น “ฮ่วย อันหยังบ่ตีสายมาบอก” ว่าไปยังงั้นเสียอีก
ท่านทูตกับผมนอนหมอบหัวชนกันอยู่ข้างหลังเก้าอี้รับแขกตัวยาว ประเดี๋ยวท่านก็ลุกขึ้นไปตรวจตราดูเจ้าหน้าที่ของสถานทูตว่ามีใครเป็นอะไรกันบ้างด้วยความเป็นห่วงลูกน้อง เสียงคนข้างนอกตะโกนถามกันเดี๋ยวก็มีเสียงระเบิดตก ตูม ตูม ลงมาอีก เผ่นเข้าหลบกันเสียที”
“…ผมเตือนให้พวกที่ขนร่างพี่โชติขึ้นรถจะขับออกไปโรงพยาบาลนั้น ให้หาผ้าขาวมาทำเป็นธง ยื่นออกมานอกรถให้ทหารลาวที่อยู่ที่อนุสาวรีย์เห็นชัดๆ ไม่ยังงั้นก็ไม่แน่ว่าจะไม่ถูกยิงเอา เขาก็หาผ้าขาวมาทำธงแล้วให้คนที่นั่งคู่กับคนขับโบกธงขาวให้เห็นชัดๆ ได้ผล ทางทหารที่อนุสาวรีย์หยุดยิง และได้ผลยิ่งไปกว่านั้น คนขับรถแวะหยุดเจรจากับทหารที่มีบางส่วนยึดบริเวณข้างล่างอนุสาวรีย์นั้น ให้ทราบว่าเขาได้ยิงเอาเลขานุการสถานทูตบาดเจ็บเข้าให้แล้ว และทางสถานทูตเสียหายอย่างไรและบอกด้วยว่าในสถานทูตไม่มีใครเข้าไปอาศัยหลบภัยอยู่เลย มีแต่พวกคนไทยเท่านั้น นายพลภูมีหลบหนีข้ามฟากเข้าหนองคายไปแล้ว ทางฝ่ายทหารจึงหยุดยิงและไม่ได้ตอแยอะไรอีกเลย
นี่แหละครับ ลาว จะเอาอะไรนักหนาเรื่องความคุ้มกันทางการทูตนั้นไม่สำคัญ จะยิงซะอย่างใครจะทำไม สถานทูตสถานอะไรไม่รู้ทั้งนั้น ดีที่ยังไม่ถึงกับยกกำลังเข้ามายึดเอาดื้อๆ…สถานทูตน่ะหรือครับ เขาประท้วงไปเหมือนกัน เรียกร้องค่าเสียหายไปด้วย คำตอบที่ได้รับคือ รัฐบาลลาวขอแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยอมขอโทษในความผิดพลาดครั้งนี้ ส่วนค่าเสียหายนั้นรัฐบาลลาวบ่มีเงิน ขอโทษอย่างเดียวก็แล้วกัน..
นายพลภูมีพอหลับเข้าไทยได้ก็ดิ่งเข้ากรุงเทพฯเลย แล้วทราบมาว่าไปตั้งหลักฐานอยู่ทางปักษ์ใต้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย มีข่าวว่าขนทองข้ามมาตั้งยี่สิบสามสิบหีบ ผมไม่เชื่อ ขนมาขนาดนั้นจะเอามาได้ยังไง เอาคนที่ไหนมาขน เรือก็จะล่มกลางแม่น้ำโขง เอาสักยี่สิบสามสิบบาทจะยังพอฟังได้”
No comments:
Post a Comment