บทที่ ๒
ในวันเดียวกันนั้นเอง เครื่องบินที-28 เครื่องหนึ่งที่ขับโดยนักบินชาวไทยเข้าทิ้งระเบิดกองบัญชาการฝ่ายปเทดลาวบริเวณทุ่งไหหิน เจ้าสุวรรณภูมาไม่สบายใจกรณีนี้เป็นอย่างยิ่ง การใช้เครื่องบินรบเข้าทำลายกองกำลังข้าศึก เสมือนการปล่อยยักษ์ออกจากตะเกียง จะไม่มีวันจับมันคืนที่เดิมได้ เริ่มแรกนั้นสหรัฐฯไม่มีแผนจะนำกำลังทางอากาศมาใช้ในลาว แต่เนื่องจากลาวติดกับเวียดนาม จึงมีการร้องขอกำลังทางอากาศมาสนับสนุนในลาวอยู่เสมอๆ และทางวอชิงตันก็เริ่มเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก นอกจากนั้นแล้วข่าวการใช้กำลังทางอากาศก็ยังไม่ได้รั่วไหลสู่ภายนอก ผู้สื่อข่าวในเวลานั้นมีอยู่เพียง ๒-๓ คนและถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปทำข่าวในเขตชนบทห่างไกล
อย่างไรก็ตามเรื่องราวของลาวที่ปรากฏต่อโลกภายนอกก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้นำในหลายประเทศรู้ว่าอเมริกากำลังพยายามขยายวงของความขัดแย้งในลาวออกไป เจ้าหน้าที่ระดับสูงในวอชิงตันรู้ดีว่าหากไม่มีเหตุผลที่ดี นานาประเทศคงรับไม่ได้ในการที่สหรัฐอเมริกานำเครื่องบินรบเข้าไปโจมตีในลาว นอกจากนั้นเจ้าสุวรรณภูมาเองก็มีทีท่าว่าจะไม่ยินยอมให้มีการใช้กำลังทางอากาศเพิ่มไปจากที่เป็นอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น กำลังทางอากาศก็จะไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของมันได้
จากนั้นก็มีกระบวนการบางอย่างได้เกิดขึ้น ซึ่งบุคคลภายนอกทั่วไปแทบจะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในลาว กระบวนดังกล่าวเช่น การที่นักการทูตอเมริกันบังคับข่มขู่รัฐบาลของมิตรประเทศในภูมิภาค หรือการที่มีความพยายามอย่างลับๆที่จะขยายความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
หลังจากการใช้กำลังทางอากาศเข้าจู่โจมฝ่ายปเทดลาวได้ไม่นาน อเมริกาก็จัดฉากหาหลักฐานเพื่อมาสนับสนุนการใช้กำลังทางอากาศของตน โดยยกเรื่อง โฮจิมินห์เทรล หรือ “เส้นทางโฮจิมินห์” ขึ้นมาว่าเวียดนามเหนือทำเส้นทางลำเลียงกำลังผ่านทางลาวเข้าไปยังเวียดนามใต้
๑๙ กันยายน ๒๕๐๗ เจ้าสุวรรณภูมาออกมาแถลงว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างสมรภูมิในเวียดนามใต้และลาว เขากล่าวต่อไปว่าคอมมิวนิสต์ใช้ลาวเป็นเส้นทางลำเลียงส่งกำลังทหาร และเสบียงไปยังเวียดนามใต้ “เรามีภาพถ่ายทางอากาศเป็นเครื่องพิสูจน์” สุวรรณภูมากล่าวตบท้าย
สุวรรณภูมาไม่ได้หาภาพถ่ายนั้นมาเอง แต่เจ้าหน้าที่ทหารของอเมริกันได้บีบให้สุวรรณภูมาตกลงยินยอมให้อเมริกาเพิ่มระดับความเข้มข้นของการใช้กำลังทางอากาศในลาวตามแต่อเมริกาจะลงมือ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในช่วงครึ่งปีหลังของ ๒๕๐๗ ทั้งนี้เป็นการดำเนินการของเรโอนาร์ด อังเกอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว ที่ตัดสินใจว่าจะต้องนำข้อมูลนี้มาเพื่อใช้อ้างในการขยายปฏิบัติการทหารในลาว
อังเกอร์เสนอให้ใช้กำลังทางอากาศในลาวแทนการลาดตระเวนสอดแนมและบินคุ้มกัน โดยให้ใช้เครื่องบินรบอเมริกันทำการโจมตีทิ้งระเบิดโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะถูก ป.ต.อ.ของข้าศึกยิงใส่ก่อนหรือไม่ อังเกอร์นำรูปถ่ายขบวนรถบรรทุกเวียดนามเหนือ ขณะกำลังเคลื่อนเข้ามาในลาวผ่านช่อง มูเกีย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๓ เส้นทางที่ตัดผ่านจากเวียดนามเข้าสู่ลาว แม้ว่าแท้จริงแล้วเส้นทางในรูปถ่ายนั้นจะเป็นเส้นทางเดิมๆ ไม่ได้มีการตัดขึ้นใหม่ แต่อังเกอร์ก็จงใจจะใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการโจมตีทางอากาศต่อกองทหารฝ่ายปเทดลาว และจากนี้ไปอเมริกันก็สามารถทิ้งระเบิดได้ตามใจชอบทุกที่ทุกเวลาโดยไม่จำเป็นต้องขออนุมัติจากรัฐบาลลาวก่อน การทิ้งระเบิดในลาวนี้ในเวลานั้นก็เหมือนเรื่องอื่นๆที่ถูกปิดลับจากสายตาโลกภายนอก.
ในวันเดียวกันนั้นเอง เครื่องบินที-28 เครื่องหนึ่งที่ขับโดยนักบินชาวไทยเข้าทิ้งระเบิดกองบัญชาการฝ่ายปเทดลาวบริเวณทุ่งไหหิน เจ้าสุวรรณภูมาไม่สบายใจกรณีนี้เป็นอย่างยิ่ง การใช้เครื่องบินรบเข้าทำลายกองกำลังข้าศึก เสมือนการปล่อยยักษ์ออกจากตะเกียง จะไม่มีวันจับมันคืนที่เดิมได้ เริ่มแรกนั้นสหรัฐฯไม่มีแผนจะนำกำลังทางอากาศมาใช้ในลาว แต่เนื่องจากลาวติดกับเวียดนาม จึงมีการร้องขอกำลังทางอากาศมาสนับสนุนในลาวอยู่เสมอๆ และทางวอชิงตันก็เริ่มเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก นอกจากนั้นแล้วข่าวการใช้กำลังทางอากาศก็ยังไม่ได้รั่วไหลสู่ภายนอก ผู้สื่อข่าวในเวลานั้นมีอยู่เพียง ๒-๓ คนและถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปทำข่าวในเขตชนบทห่างไกล
อย่างไรก็ตามเรื่องราวของลาวที่ปรากฏต่อโลกภายนอกก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้นำในหลายประเทศรู้ว่าอเมริกากำลังพยายามขยายวงของความขัดแย้งในลาวออกไป เจ้าหน้าที่ระดับสูงในวอชิงตันรู้ดีว่าหากไม่มีเหตุผลที่ดี นานาประเทศคงรับไม่ได้ในการที่สหรัฐอเมริกานำเครื่องบินรบเข้าไปโจมตีในลาว นอกจากนั้นเจ้าสุวรรณภูมาเองก็มีทีท่าว่าจะไม่ยินยอมให้มีการใช้กำลังทางอากาศเพิ่มไปจากที่เป็นอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น กำลังทางอากาศก็จะไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของมันได้
จากนั้นก็มีกระบวนการบางอย่างได้เกิดขึ้น ซึ่งบุคคลภายนอกทั่วไปแทบจะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในลาว กระบวนดังกล่าวเช่น การที่นักการทูตอเมริกันบังคับข่มขู่รัฐบาลของมิตรประเทศในภูมิภาค หรือการที่มีความพยายามอย่างลับๆที่จะขยายความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
หลังจากการใช้กำลังทางอากาศเข้าจู่โจมฝ่ายปเทดลาวได้ไม่นาน อเมริกาก็จัดฉากหาหลักฐานเพื่อมาสนับสนุนการใช้กำลังทางอากาศของตน โดยยกเรื่อง โฮจิมินห์เทรล หรือ “เส้นทางโฮจิมินห์” ขึ้นมาว่าเวียดนามเหนือทำเส้นทางลำเลียงกำลังผ่านทางลาวเข้าไปยังเวียดนามใต้
๑๙ กันยายน ๒๕๐๗ เจ้าสุวรรณภูมาออกมาแถลงว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างสมรภูมิในเวียดนามใต้และลาว เขากล่าวต่อไปว่าคอมมิวนิสต์ใช้ลาวเป็นเส้นทางลำเลียงส่งกำลังทหาร และเสบียงไปยังเวียดนามใต้ “เรามีภาพถ่ายทางอากาศเป็นเครื่องพิสูจน์” สุวรรณภูมากล่าวตบท้าย
สุวรรณภูมาไม่ได้หาภาพถ่ายนั้นมาเอง แต่เจ้าหน้าที่ทหารของอเมริกันได้บีบให้สุวรรณภูมาตกลงยินยอมให้อเมริกาเพิ่มระดับความเข้มข้นของการใช้กำลังทางอากาศในลาวตามแต่อเมริกาจะลงมือ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในช่วงครึ่งปีหลังของ ๒๕๐๗ ทั้งนี้เป็นการดำเนินการของเรโอนาร์ด อังเกอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว ที่ตัดสินใจว่าจะต้องนำข้อมูลนี้มาเพื่อใช้อ้างในการขยายปฏิบัติการทหารในลาว
อังเกอร์เสนอให้ใช้กำลังทางอากาศในลาวแทนการลาดตระเวนสอดแนมและบินคุ้มกัน โดยให้ใช้เครื่องบินรบอเมริกันทำการโจมตีทิ้งระเบิดโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะถูก ป.ต.อ.ของข้าศึกยิงใส่ก่อนหรือไม่ อังเกอร์นำรูปถ่ายขบวนรถบรรทุกเวียดนามเหนือ ขณะกำลังเคลื่อนเข้ามาในลาวผ่านช่อง มูเกีย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๓ เส้นทางที่ตัดผ่านจากเวียดนามเข้าสู่ลาว แม้ว่าแท้จริงแล้วเส้นทางในรูปถ่ายนั้นจะเป็นเส้นทางเดิมๆ ไม่ได้มีการตัดขึ้นใหม่ แต่อังเกอร์ก็จงใจจะใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการโจมตีทางอากาศต่อกองทหารฝ่ายปเทดลาว และจากนี้ไปอเมริกันก็สามารถทิ้งระเบิดได้ตามใจชอบทุกที่ทุกเวลาโดยไม่จำเป็นต้องขออนุมัติจากรัฐบาลลาวก่อน การทิ้งระเบิดในลาวนี้ในเวลานั้นก็เหมือนเรื่องอื่นๆที่ถูกปิดลับจากสายตาโลกภายนอก.
No comments:
Post a Comment