บทที่ ๑
วันต่อมา แลร์ได้รับข้อความเข้ารหัสทางวิทยุจาก ผบ.หน่วยพารูว่า “เราพบวังเปาแล้ว เขาคือคนที่เรากำลังมองหา รีบมาคุณจะพบกับเขาด้วยตนเอง”
แลร์ออกเดินทางโดย H-34 ไปยังเขตภูเขา เขาได้พบกับชายตาชั้นเดียวรูปร่างเตี้ยแต่ล่ำสันด้วยความสูง ๕ ฟุต ๕ นิ้ว เป็นคนกระฉับกระเฉง ชายคนนี้คือ “วังเปา”
วังเปาเป็นคนภูเขาได้เรียนรู้วิธีดำเนินชีวิตแบบชาวลาวลุ่ม บรรพชนของเขาเป็นชาวนาธรรมดาที่ดำรงชีพโดยการปลูกข้าวและ “ฝิ่น” ตระกูลวังเป็นตระกูลเล็กๆ ไม่มีความสำคัญอะไร อาจเป็นเพราะต้องการชดเชยชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย หรือจะด้วยด้วยพลังชีวิตที่อัดแน่นอยู่ในตัว ทำให้วังเปากระตือรือร้นและมีความสามารถเหนือกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันแทบทุกด้าน
และด้วยเหตุนี้ทำให้ โทนี ลายฟอง กระบอกเสียงของม้งในรัฐบาลลาวเมื่อยังอยู่ใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส ให้ความสนใจแก่วังเปา
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใกล้ถึงจุดจบ ขณะนั้นวังเปาอายุได้ ๑๔ ปี วังเปาได้กลายมาเป็นคนเดินสารให้กับทหารฝรั่งเศสที่หลบซ่อนตัวจากทหารญี่ปุ่นที่ยึดครองลาวในขณะนั้น ซึ่งพวกทหารฝรั่งเศสได้หลบซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบเขาโดยการช่วยเหลือจากโทนี ลายฟองและเจ้าสักขาม ซึ่งได้ตั้งเป็นกองทหารชาวเขาขึ้น และในช่วงเวลานั้นเองที่วังเปาได้สัมผัสเทคนิคการสู้รบแบบกองโจร
เมื่อสงครามจบลง วังเปาได้เข้าร่วมกับกองตำรวจแห่งชาติ การฝึกในกองตำรวจทำให้เขามีโอกาสเดินทางข้ามหุบเขามายังดินแดนแถบแม่น้ำโขงมายังเมืองหลวงพระบางนครหลวงเก่าของลาว วังเปาเป็นชาวเขาคนเดียวในโรงเรียนนายร้อยตำรวจและเขาก็ได้รับการดูถูกจากนักเรียนคนอื่นๆพวกลาวลุ่มจะดูถูกดูแคลนพวกชาวเขาว่าต่ำว่าพวกตน และเรียกพวกม้งว่า “แม้ว” ซึ่งเป็นภาษาจีนที่หมายถึงพวก อนารยชน แต่พวกม้งเรียกตนเองว่า ม้ง ซึ่งหมายถึงเสรีชน
วังเปาจบจากโรงเรียนนายตำรวจได้คะแนนเป็นอันดับ ๑ จากนักเรียน ๘๐ คน นอกจากนี้เขายังชนะเลิศการวิ่งระยะ ๓,๕๐๐ เมตรจากผู้แข่งขันที่เป็น ทหาร ตำรวจ นักศึกษา วังเปาได้รับรางวัลเป็นถ้วยทำด้วยเงินแท้จากมกุฎราชกุมารผู้ซึ่งต่อมาได้ขึ้นเป็นเจ้ามหาชีวิตของลาว
เมื่อวังเปากลับไปยังถิ่นบ้านเกิดในแขวงเชียงของ(เชียงขวาง)ที่มีอาณาเขตติดต่อกับเวียดนามเหนือในปี ๒๔๙๓ พลพรรคฝ่ายซ้ายของโฮจิมินห์ได้ขยายการสู้รบกับฝรั่งเศสเข้ามาในลาว วังเปาซึ่งเป็นจ่าตำรวจมีลูกน้อยอยู่จำนวนหนึ่งได้รับคำสั่งจากฝรั่งเศสให้ไล่ล่าร้อยเอกชาวเวียดนามเหนือนายหนึ่งที่ได้ซุ่มโจมตีกองทหารฝรั่งเศสในพื้นที่แถบนั้น
ก่อนรุ่งสางของวันหนึ่ง วังเปาและลูกน้องได้พบแหล่งกบดานของร้อยเอกชาวเวียดนามเหนือคนนั้น เขาระดมยิงกราดขึ้นไปในบ้านที่เป็นที่หลบซ่อนของนายร้อยและทหารเวียดนามเหนือจำนวนหนึ่ง ไม่มีความกล้าหาญอะไรในสันดานของวังเปาและลูกน้อง ไม่มีการปลุกให้ศัตรูลุกขึ้นมาต่อสู้กันซึ่งหน้า แต่พวกชาวเขาก็ไม่มีเรื่องของเกียรติยศอะไรอยู่ในหัว ค่าที่พวกชาวเขาเหล่านี้เป็นพวกโหดเหี้ยมพวกมันก็ไม่เคยร้องเรียกความเมตตาจากศัตรูเช่นกัน
เมื่อวังเปากลับมาถึงฐานที่มั่น นายทหารฝรั่งเศสได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเป็นเกียรติให้พวกเขา จากนั้นวังเปาถูกใช้ให้ปฏิบัติการโจมตีฝ่ายเวียดนามเหนือซึ่งเป็นศัตรูของกองทหารฝรั่งเศสอีกหลายต่อหลายครั้ง
จนผู้บัญชาการฝรั่งเศสตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จ่าวังเปาจะได้เป็นนายทหารเสียที เขาจึงวิทยุขอให้ส่งแบบทดสอบการสอบเป็นนายร้อยทหารมาให้ทางอากาศ
ข้อสอบเป็นภาษาฝรั่งเศสที่วังเปาเรียนรู้มาไม่กี่ศัพท์จากโรงเรียนตำรวจที่เขาไปเรียนร่วม ๕ ปี ดังนั้นผู้บัญชาการฝรั่งเศสผู้เดินรอบตัววังเปา จึงกล่าวออกมาว่าหลักไวยากรณ์ไม่มีผลอะไรเกี่ยวกับการไล่ล่าข้าศึกตามแนวรบที่มีหญ้าคาสูงท่วมหัว เขาจึงบอกเฉลยข้อสอบให้แก่วังเปาทีละข้อๆ
ไม่นานหลังจากวังเปาจบการศึกษาจากโรงเรียนฝึกนายทหาร เขาก็ได้รับการบรรจุในหน่วยทหารที่บัญชาการโดยพันเอกโรเจอร์ แตรกุยเยผู้ขึ้นตรงต่อกองบัญชาการทหารสูงสุดฝรั่งเศสในฮานอย
No comments:
Post a Comment