Thursday, April 30, 2009

ลำดับ๖๑๙ยุทธการภูผาที(๒๐)

บทที่ ๒๐ ภูผาทีถูกโอบล้อม

การสร้างถนนสายนี้ได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันเหมาะเจาพอดีสำหรับฮานอย แต่เป็นช่วงจังหวะที่เลวร้ายยิ่งสำหรับกองบินที่ ๗ ในเวียดนามใต้ เนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่กองทหารราบเวียดนามเหนือและพันธมิตรเวียดกงได้ประสานกำลังเข้าโจมตีหลายเมืองที่อยู่ในเขตครอบครองของกองกำลังฝ่ายรัฐบาล เหตุการณ์นี้ต่อมาถูกเรียกว่าเหตุการณ์ เท็ท ออฟเฟนซ์ซีฟ หรือการโจมตีอย่างไม่ให้ตั้งตัวในช่วงเทศกาลวันตรุษเวียดนาม

ในเหตุการณ์นี้หน่วยกล้าตายของข้าศึกได้บุกฝ่าเข้าไปบริเวณสถานทูตอเมริกันในไซ่ง่อนและพวกเวียด กงก็สามารถเจ้าควบคุมเมืองเว้ไว้ได้ ทหารคอมมิวนิสต์ผุดขึ้นทุกหนทุกแห่ง กองทัพอากาศที่มีงานล้นมือจึงไม่สนใจสถานีเรดาห์บนยอดเขาหินปูนที่อยู่ไกลออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของลาวเท่านั้น

ระหว่างวันที่ ๒-๑๔ กุมภาพันธ์ ไม่มีเครื่องบินกองทัพอากาศทำการโจมตีเส้นทางหมายเลข ๖๐๒ แม้แต่เที่ยวบินเดียวและตั้งแต่วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์เป็นต้นมาปรากฏมีขบวนรถบรรทุกเริ่มวิ่งลงมาตามเส้นทางดังกล่าว แม้ว่าถนนจะยังตัดไปไม่ถึงบริเวณเชิงเขาก็ตาม

ถึงขณะนั้น สายลับของวังเปาได้รายงานว่าทหารปเทดลาวและเวียดนามเหนือทำการโฆษณาชวนเชื่อในหมู่บ้านบางแห่งใกล้ๆกับภูผาที พวกเขาเปิดเผยเกี่ยวกับการโจมตีที่กำลังจะเกิดขึ้น และเตือนไม่ให้พวกชาวบ้านออกไปป้วนเปี้ยนบริเวณนั้น ทหารเวียดนามเหนือได้ขอแรงงานผู้ชายจากหมู่บ้านช่วยแบกหามสัมภาระ ทหารจำนวน ๒ กองพลได้เข้ามาเสริมในพื้นที่ ซึ่งกองพลหนึ่งเป็นกองพลปืนใหญ่ ที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ในลาวมาก่อน ฝ่ายปเทดลาวได้เข้ายึดครองพื้นที่เป็นรูปแนวโค้งจากเหนือผ่านมาทางตะวันออก เข้าโอบล้อมทางทิศใต้ของภูเขา จากนั้นจึงเริ่มเคลื่อนกำลังไปทางตะวันตกเพื่อเตรียมพร้อมเข้าโจมตี

กองพลทหารที่ถูกส่งเข้ามาใหม่ เป็นกองกำลังที่ดีที่สุด หน่วยตรวจการณ์หน้าของกองพลทหารปืนใหญ่ที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อน ถูกกองลาดตระเวนของวังเปาซุ่มโจมตีและค้นได้กระเป๋าบรรจุแผนที่จากตัวศพ แผนที่ถูกส่งไปยังอุดรฯโดยทางเครื่องบิน มันเป็นแผนที่แสดงเส้นทางที่ถูกเขียนขึ้นอย่างละเอียดปราณีต มีสัญลักษณ์ระบุชนิดของอาวุธที่จะถูกนำมาใช้ แผนที่หนึ่งมีรอยกระสุนเจาะทะลุ ในสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ยึดมาได้มีภาษาอังกฤษคำว่า “TACON” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามทราบตำแหน่งพิกัดของอุปกรณ์ส่งสัญญาณนำร่องของพวกอเมริกัน

No comments: