เส้นทางชีวิตของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
ลูกพระยา
๒๔๔๕ กำเนิด
๒ มกราคม ด.ญ.พูนศุข ณ ป้อมเพ็ชร์ เกิดในเมืองสมุทรปราการ เป็นบุตรคนที่ ๓ ของคุณหญิงเพ็ง (สุวรรณศร) และพระยาชัยวิชิตวิศิษณ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพ็ชร์) อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของประเทศ นามพูนศุข ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
๒๔๖๑ การศึกษา
๒๔๖๑ การศึกษา
ครอบครัวย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ ด.ญ.พูนศุข เข้าเรียนที่โรงเรียนเชนต์โยเซฟคอนแวนต์ ถนนสีลม ซึ่งเป็นโรงเรียนฝรั่งที่โก้และแพงมาก มีรถเปิดประทุนจากที่บ้านไปรับส่งตลอด
๒๔๗๑ เริ่มต้นชีวิตครอบครัว
๒๔๗๑ เริ่มต้นชีวิตครอบครัว
๑๖ พฤศจิกายน นางสาวพูนศุข ณ ป้อมเพ็ชร์ เข้าพิธีสมรสกับนายปรีดี พนมยงค์ บุตรนายเสียงและนางลูกจันทน์ พนมยงค์ ปรีดี และ พูนศุขมีบุตรธิดา ๖ คนคือ ลลิตา ปาน สุดา ศุขปรีดา ดุษฎี และวาณี
ภริยานักการเมือง
๒๔๗๕ อภิวัฒน์สยามประเทศ
๒๔ มิถุนายน พูนศุขไม่ทราบมาก่อนเลยว่า สามีของตนเป็นผู้นำคนสำคัญของคณะราษฎรที่ได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เพราะนายปรีดีต้องการรักษาความลับ จึงหลอกภรรยาว่าช่วงนั้นจะไปบวชที่อยุธยา
๒๔๗๖ เดินทางไกลครั้งแรก
๒๔๗๖ เดินทางไกลครั้งแรก
หลังจากนายปรีดีได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติหรือสมุดปกเหลือง ซึ่งเป็นนโยบายที่ก้าวหน้ามากแต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาบีบให้เดินทางออกนอกประเทศทันที พูนศุขจำต้องทิ้งลูกน้อยไว้ให้คุณแม่เลี้ยง แล้วติดตามนายปรีดีเดินทางไกลสู่ต่างประเทศ
๒๔๘๒ บรรดาศักดิ์ท่านผู้หญิง
๒๔๘๒ บรรดาศักดิ์ท่านผู้หญิง
๒๐ กันยายน พูนศุข พนมยงค์ ในวัยเพียง ๒๘ ปี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านผู้หญิง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมิหดลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยภรณ์ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์
ในห้วงสงคราม
ในห้วงสงคราม
๒๔๘๓ หนังพระเจ้าช้างเผือก
สงครามโลกครั้งที่ ๒ อุบัติขึ้นในยุโรป ปรีดีซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก อันมีเนื้อหาว่าด้วยสันติภาพเพื่อต่อต้านการทำสงคราม โดยพูนศุขทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลกองถ่าย
๒๔๘๔ ขบวนการเสรีไทย
๒๔๘๔ ขบวนการเสรีไทย
๘ ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทย ต่อมารัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามได้เข้าร่วมกับญี่ปุ่นประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ปรีดี พนมยงค์ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ขณะที่พูนศุขทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์สงครามขณะนั้น และเขียนรหัสด้วยลายมือเพื่อรักษาความลับ
๒๔๘๘ วันสันติภาพ
๒๔๘๘ วันสันติภาพ
๑๖ สิงหาคม หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ประกาศสันติภาพขึ้น โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า การประกาศสงครามต่อประเทศสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย และการมีอยู่ของขบวนการเสรีไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้ประเทศไทยไม่ตกเป็นประเทศแพ้สงครามเหมือนญี่ปุ่น เยอรมนี และ อิตาลี
มรสุมชีวิต
๒๔๘๙ กรณีสวรรคต
-๒ มกราคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสัตยา (สาย โรจนดิศ) อัญเชิญบัตรอวยพรวันเกิดพระราชทานแด่ท่านผู้หญิงพูนศุข ที่ทำเนียบท่าช้าง
-๙ มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลต้องพระแสงปืนสวรรคต พรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับ ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวหาว่านายปรีดีมีส่วนพัวพันกับกรณีสวรรคต ถึงกับจ้างคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง”สิงหาคม ปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อมา ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ เดินทางไปพบผู้นำประเทศในเอเซีย ยุโรป และอเมริกาตามคำเชิญ และได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติเป็นเวลา ๓ เดือน
๒๔๙๐ รัฐประหารเลือด
๒๔๙๐ รัฐประหารเลือด
คืนวันที่ ๘ พฤศจิกายน คณะรัฐประหารนำโดยผลโท ผิน ชุณหะวัณ เข้ายึดอำนาจการปกครองและตามล่าปรีดี โดยใช้ปืนกลกราดยิงเข้าไปในทำเนียบท่าช้างที่ขณะนั้นพูนศุขกับลูกๆ อยู่ในบ้าน พูนศุขตะโกนออกไปว่า “อย่ายิง อย่ายิง ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก”
๒๔๙๒ ขบวนการประชาธิปไตยถูกทำลาย
๒๔๙๒ ขบวนการประชาธิปไตยถูกทำลาย
๒๖ กุมภาพันธ์ ปรีดีนำกองกำลังผู้รักประชาธิปไตย ประกอบด้วยทหารเรือ อดีตเสรีไทย ฯลฯ เข้าต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ แต่ไม่สำเร็จดังที่เรียกกันในภายหลังว่ากบฏวังหลวง พูนศุขพาสามีไปหลบซ่อนตัวที่บ้านสวนฉางเกลือ ย่านฝั่งธน และวางแผนให้ปรีดีลงเรือหนีออกนอกประเทศอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางการไล่ล่าของฝ่ายตรงข้าม
๒๔๙๕ ติดคุกข้อหากบฏ
๒๔๙๕ ติดคุกข้อหากบฏ
พฤศจิกายน พูนศุขและปาน ลูกชายคนโตถูกตำรวจสันติบาลค้นบ้านและจับกุมในข้อหา “กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร” พูนศุขถูกจองจำอยู่ในกรงขัง ๘๔ วัน เพื่อให้ยอมสารภาพว่านายปรีดีอยู่ที่ไหน
ลี้ภัยการเมืองในต่างแดน
๒๔๙๖ ถูกบีบให้ออกนอกประเทศ
เมษายน เมื่อออกจากคุก พูนศุขมีสภาพจิตใจบอบช้ำมาก ลูกติดคุก สามีหายไป ขาดการติดต่อมา ๔ ปี และครอบครัวไม่ปลอดภัยจึงตัดสินใจพาลูกสาว ๒ คนเดินทางไปหาลูกสุดาที่เรียนอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสไม่นานนักปรีดีส่งข่าวมาว่าลี้ภัยอยู่ในประเทศจีน พูนศุขกับลูกเดินทางไกลด้วยรถไฟขบวนยาวที่สุดในโลก (ทรานไซบีเรีย)จากยุโรปตะวันออกสู่ประเทศจีน เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ครอบครัวพนมยงค์ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้งในบ้านพักกรุงปักกิ่งได้รับทราบข่าวทางวิทยุว่าปาลถูกศาลตัดสินจำคุก ๒๐ ปี
๒๔๙๙ จากเหนือสู่ใต้
๒๔๙๙ จากเหนือสู่ใต้
มิถุนายน นายปรีดีทำเรื่องถึงรัฐบาลจีนเพื่อขอย้ายครอบครัวไปอยู่ทางใต้ เพราะทนอากาศหนาวในกรุงปักกิ่งช่วงฤดูหนาวไม่ไหว ต่อมาได้รับอนุญาตให้อพยพไปอยู่เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง
๒๕๐๐ กลับมาเยี่ยมบ้าน
๒๕๐๐ กลับมาเยี่ยมบ้าน
เมษายน พูนศุขบินกลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อได้รับข่าวว่าคุณแม่ป่วยหนัก และปาลได้รับนิรโทษกรรม เนื่องในโอกาสฉลองกึ่งพุทธกาล
๒๕๑๑ ครบรอบ ๔๐ ปีแห่งการสมรส
๒๕๑๑ ครบรอบ ๔๐ ปีแห่งการสมรส
๑๖ พฤศจิกายน ปรีดีเขียนจดหมายถึงภรรยามีความตอนหนึ่งว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น น้องได้ปฏิบัติเปนภรรยาที่ดียิ่ง พร้อมด้วยความอุทิศตนเสียสละทุกอย่างเพื่อพี่ และเพื่อราษฎรไทย แม้ว่าขณะนี้น้องได้รับความลำบากเนื่องจากความอยุติธรรมของศัตรูที่ปองร้าย แต่วันใดวันหนึ่งในภายหน้า คุณความดีของน้องก็จะต้องปรากฏขึ้นแก่มวลราษฎรไทย”
๒๕๑๓ อพยพมาอยู่ฝรั่งเศส
๒๕๑๓ อพยพมาอยู่ฝรั่งเศส
นายปรีดีขออนุญาตรัฐบาลจีนย้ายครอบครัวมาอยู่ในเมืองอองโตนี ชานกรุงปารีส เพราะรู้สึกเกรงใจทางจีนที่ให้การดูแลอย่างดี และที่ฝรั่งเศสสามารถติดต่อกับคนในประเทศไทยได้สะดวกกว่า ตอนนั้นปรีดีมีรายได้จากเงินบำนาญปีละ ๔,๐๐๐ บาทกันยายน ได้รับเชิญจากลอร์ดหลุยส์ เมาน์ทแบตแตน อดีตผู้บัญชาการสูงสุดของสัมพันธมิตรในภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก ไปเยือนที่บ้านพักในอังกฤษ
ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ
๒๕๑๘ ฟ้องหมิ่นประมาท
พูนศุขเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้ง เพื่อติดตามคดีที่นายปรีดีฟ้องหมิ่นประมาทหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ที่เขียนโจมตีนายปรีดีว่าพัวพันกรณีสวรรคต จนนายปรีดีชนะคดี
๒๕๒๕ ลูกชายเสียชีวิต
๒๕๒๕ ลูกชายเสียชีวิต
ปาล ลูกชายคนโต เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวัย ๕๐ ปี ก่อนมอบร่างให้โรงพยาบาล แม่พูนศุขจูบลาลูกเป็นครั้งสุดท้ายและบอกลูกว่า “ชาตินี้ลูกมีกรรมเกิดมาอาภัพและลำบาก ถ้าชาติหน้ามีขอให้ลูกมีชีวิตที่สบายกว่านี้”
๒๕๒๖ คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ
๒๕๒๖ คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ
๒ พฤษภาคม ปรีดี พนมยงค์ ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจวาย ที่บ้านพักอองโตนี สิริอายุได้ ๘๓ ปี
๒๕๒๙ ปรีดีกลับเมืองไทย
๒๕๒๙ ปรีดีกลับเมืองไทย
พูนศุขนำอัฐิของนายปรีดีกลับมาเมืองไทยก่อนจะนำอังคารไปลอยในอ่าวไทย
๒๕๓๐ กลับบ้าน
๒๕๓๐ กลับบ้าน
พูนศุขย้ายไปอยู่เมืองไทยเป็นการถาวรที่บ้านพักในซอยสวนพลู ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ และช่วยงานมูลนิธิปรีดี พนมยงค์
๒๕๔๓ ๑๐๐ ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์
๒๕๔๓ ๑๐๐ ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์
พูนศุขเป็นแม่งานจัดงานครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ที่ยูเนสโกประกาศให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก
๒๕๔๕ บั้นปลายชีวิต
๒๕๔๕ บั้นปลายชีวิต
ในวัย ๙๐ ปี พูนศุขผู้มีความทรงจำแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ เคยเขียนบันทึกไว้ว่า “ข้าพเจ้าทบทวนเหตุการณ์หนหลังด้วยใจอันสงบ มิได้โกรธแค้นหรือคิดอาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ขณะเดียวกัน รำลึกถึงทุกท่านที่เสี่ยงภยันตรายช่วยเหลือนายปรีดีให้พ้นภัยในครั้งกระนั้นด้วยความขอบคุณ”
๒๕๕๐ วาระสุดท้าย
๑๒ พฤษภาคม เวลา ๑๒.๐๐ น. พูนศุข พนมยงค์ ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริอายุ ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน ก่อนจากไปได้เขียนสั่งลูกๆ ไว้ว่า “มอบศพให้โรงพยาบาล และไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น”
จากวารสาร สารคดีฉบับที่ ๒๖๙ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๐
No comments:
Post a Comment