Saturday, August 25, 2007

บทความที่๒๓๙.บันทึกวันสำคัญ

บันทึกวันสำคัญ
(บทความนี้บันทึกไว้เมื่อปลายปี ๒๕๔๔)

แสงตะวันรอนทอแสงระยับสะท้อนผืนน้ำเจ้าพระยา เสียงออดแอดของโลหะส่วนประกอบเสาท่าเรือเสียดสีกันเป็นจังหวะตามการกระเพื่อมขึ้นลงของน้ำ ข้าพเจ้านั่งอยู่บนม้านั่งปูนซีเมนต์ใต้ต้นหูกวางที่ใบและผลหล่นอยู่กล่นเกลื่อน สังเกตผู้คนที่ทยอยมาถึงงาน นาฬิกาข้อมือข้าพเจ้าบอกว่าเป็นเวลาเกือบสิบแปดนาฬิกาแล้ว

วันที่ ๑๐ ธันวาคม ณ. ลานปรีดี พนมยงค์แห่งนี้ได้ถูกจัดสถานที่ให้รองรับการจัดงานฉลองปิดงานชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งครบรอบการจัดงาน ๑๐๐ ปีชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโส ๑ ปีในวันนี้ งานฉลองในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานซึ่งจัดมาตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม บรรยายกาศของงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะและเก้าอี้ที่จัดเรียงไว้สำหรับบุคคลสำคัญของงาน มีซุ้มอาหารแบบบุฟเฟ่ จัดไว้ด้านข้างติดกับสวนร่มรื่น ข้าพเจ้ามาในฐานะประชาชนผู้มีความสนใจและขอเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์สำคัญนี้

บุคคลที่มีชื่อเสียงและบุคคลที่เป็นเอทัคคะในงานของตนทยอยเดินมาถึง พลันสายตาข้าพเจ้าก็จับไปที่ร่างของท่านผู้หญิงพูนศุข พยมยงค์ ภริยาของท่านอดีตรัฐบุรุษอาวุโส ข้าพเจ้าพบว่าในวัยกว่า ๙๐ ปี ท่านยังแข็งแรงกว่าปุถุชนทั่วไปในวัยเดียวกันมาก ความทรงจำเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่ครอบครัวท่านได้รับ ยังคงอยู่เสมอกับท่านเหมือนว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นในวันวาน แต่ในวันนี้บุคคลที่ได้ก่อกรรมกับครอบครัวท่านไว้ก็ลาโลกไปแล้วทั้งหมด ถ้าจะคิดว่าการไม่ยอมตายเพียงเพื่อจะอยู่ดูคนที่ก่อเวรไว้มอดม้วยไปเสียก่อนเป็นการอยู่ด้วยความอดทน ท่านก็นับได้ว่าผ่านความอดทนนั้นมาแล้ว และท่านชนะ...

มีบุคคลสำคัญอีกหลายต่อหลายคนที่มีส่วนสำคัญในการจัดงาน อาทิ ส.ศิวลักษ์ อังคาร กัลยาณพงศ์ และอีกหลายท่านที่มีชื่อเสียงในฐานะนักวิชาการ นักเขียน นักต่อสู้เพื่อสังคม ก็มาถึงในงานสำคัญนี้ ข้าพเจ้าแปลกใจที่พบว่ามีประชาชนจากถิ่นชนบท และเป็นผู้ยากไร้ ซึ่งคาดว่าจะเดินทางมาจากจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ ๒๐ คนเดินทางร่วมงานในวันนี้ด้วย และความสงสัยก็หายไปเมื่องานได้เริ่มขึ้น

งานในวันนี้นอกจากจะเป็นการกล่าวสรุปปิดงานที่จัดมาครบ ๑ ปีแล้ว ยังได้มีการมอบเหรียญที่ระลึกให้แก่บุคคลผู้มีส่วนสำคัญในการจัดงานฉลอง ๑๐๐ ปีชาตกาลฯ และแล้วเวลาเริ่มงานอย่างเป็นทางการก็มาถึง.. นาฬิกาบอกเวลาสิปแปดนาฬิกา สามสิบนาทีตรง

นายพิภพ ธงชัย ตัวแทนคณะกรรมการจัดงาน ได้อ่านแถลงปิดงานต่อ นายสุธรรม แสงปทุม ตัวแทนพณฯ นายกรัฐมนตรี(ข้าพเจ้าพบว่าแถลงการณ์นั้นนำถ้อยคำสำนวนของ คุณ ส.ศิวลักษ์ มากกล่าวเสียดสีต่อชนชั้นขัตติยะอยู่มากกว่าหนึ่งประโยค--ช่วยไม่ได้ที่ข้าพเจ้าจะจำสำนวนนั้นได้)
จากนั้นตัวแทนของชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนได้อ่านแถลงการณ์ขอความเป็นธรรมจากพณฯนายกผ่านทาง คุณสุธรรม แสงปทุม เธออ่านแถลงการณ์ด้วยเสียงกังวานแต่ติดขัดและอ่านผิดบ่อยครั้งคงเป็นเพราะเธอไม่ได้ร่างแถลง การณ์นั้นเอง

จากนั้นนาย สุธรรม แสงปทุมในฐานะตัวแทนของพณฯนายกได้กล่าวตอบแขกผู้มีเกียรติ โดยรับปากในหลายเรื่อง ที่สำคัญคือจะนำเรื่องการจัดตั้งมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ในฐานะเป็นองค์กรให้คำแนะนำเกี่ยวกับนิตินัยที่ไทยจะกับทำต่างชาติ ไปเสนอต่อนายกฯต่อไป

ต่อมาจึงเป็นพิธีการมอบเหรียญที่ระลึกให้แก่ผู้มีส่วนสำคัญในการจัดงานฉลอง ๑๐๐ ปี ชาติกาลฯ โดยนาย ส.ศิวลักษ์เป็นผู้อ่านชื่อ ให้ผู้มีรายชื่อหรือตัวแทนมารับเหรียญฯจากมือท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ข้าพเจ้าคุ้นเคยชื่อเสียงของหลายๆท่านชื่อของบางท่านในฐานะศิลปินก็ทำความฉงนให้กับข้าพเจ้าเช่นนาย ยืนยง โอภากุล แต่ชื่อของบางท่านในฐานะนักการเมืองนักวิชาการก็ทำความแปลกใจให้ข้าพเจ้าไม่น้อยเช่นกัน อาทิ น.ส.กาญจนา ศิลปอาชา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ นายอานนท์ ปันยารชุน ทั้งนี้ความแปลกใจที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากทัศนะที่คับแคบของข้าพเจ้านั่นเอง

แต่บุคคลที่สร้างความปิติและไม่คาดคิดว่าจะท่านจะมาร่วมงาน เพราะท่านเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวไม่ทำตัวให้มีชื่อเสียงมาก ท่านผู้นั้นมีงานเขียนที่สะเทือนสังคมทั้งในยุคอดีตที่ถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏสันติภาพ สืบเนื่องมาในยุคเผด็จการท่านก็มีงานเขียนตอบโต้ผู้กล่าวร้าย ท่านปรีดี อย่างนาย ส.ศิวลักษ์ นายชัยอนันต์ สมุทรวานิช แม้กระทั่งบุคคลผู้ได้รับการนับถือจากท่านผู้นี้ว่าเป็นอาจารย์ คือนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ท่านผู้นี้ก็ได้เขียนตอบโต้มาอย่างเผ็ดร้อนแต่อิงในข้อเท็จจริง ให้ปรากฎสัจจะในสังคมมาแล้ว (ต่อมานาย ส.ศิวลักษ์ ได้เกิดสัมมาทิฏฐิค้นหาความจริงเกี่ยวกับท่านปรีดีและได้กลับมายืนในตำแหน่งตรงข้าม และเป็นตัวตั้งตัวตีในการเชิดชูสรรเสริญ ท่านปรีดี ในหลายวาระ ส่วนอีกสองท่าน ท่านแรกข้าพเจ้าไม่ทราบว่าได้สำเหนียกเพรียกหาสัจจะหรือไม่เพียงใด ส่วนท่านหลังได้วายชนม์ไปแล้วพร้อมอคติติดตัวไปสู่สัมปรายภพ)

ท่านผู้มีความสำคัญนั้นคือคุณสุพจน์ ด่านตระกูล ข้าพเจ้าปีติที่ได้พบหน้าท่านจริงๆเป็นครั้งแรกในวัยที่ท่านอายุเกือบ ๘๐ ปี

หลังจากพิธีมอบเหรียญฯ แล้วก็มีการสดุดีร้อยกรองโดยท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ และคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มีการจุดดอกไม้ไฟ ดนตรีขับร้องเพลงสดุดี

ข้าพเจ้าจากงานพิธีนั้นมาในเวลาที่นาฬิกาข้อมือบอกไว้ว่า เกือบ ๒๐ นาฬิกา...

No comments: