บทความชิ้นสุดท้ายของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
๒. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พุทธศักราช ๒๔๘๔-๒๔๘๘)
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อทหารสัมพันธมิตรเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีกองทัพญี่ปุ่นในประเทศไทย จุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ของญี่ปุ่นในพระนครเป็นเป้าการโจมตีทางอากาศของเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ พระที่นั่งอนันตสมาคมถูกระเบิดเสียหาย
นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย ได้ติดต่อขอให้ฝ่ายสัมพันธมิตรละเว้นการทิ้งระเบิดบริเวณพระบรมมหาราชวังและโบราณสถานอันทรงคุณค่าของชาติไทย และได้กำชับมิให้ทิ้งระเบิดวังสระปทุม อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ด้วยสถานการณ์สงครามทวีความรุนแรง และไม่เป็นที่ไว้วางใจ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ถวายความปลอดภัยแด่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ด้วยการอัญเชิญมาประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงประทับในเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์
ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เสรีไทยสายอังกฤษ เขียนไว้ในบทความ “พระบรมวงศานุวงศ์ และขบวนการเสรีไทย” ตอนหนึ่งว่า
ระหว่างที่ผมส่งวิทยุอยู่ดังกล่าวข้างต้นนั้น ทางการทหารอังกฤษได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในประเทศไทยเป็นระยะ ๆ หัวหน้าเสรีไทยจึงได้มีโทรเลขแจ้งไปยังอังกฤษว่า บางทีเครื่องบินทหารอังกฤษมาทิ้งระเบิดเปะปะ ขอให้ระมัดระวังให้ดี เฉพาะอย่างยิ่ง อย่าทิ้งที่พระบรมมหาราชวังหรือวังของเจ้านายต่าง ๆ ให้หลีกเลี่ยงพระบรมวงศานุวงศ์และที่ตั้งรัฐบาล กับที่ทำการเสรีไทยต่าง ๆ ได้แจ้งสถานที่ต่าง ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงไปอย่างชัดเจน ทางอังกฤษก็ตอบรับคำว่าจะปฏิบัติตาม
ครั้งหนึ่งมีพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งจะเป็นผู้ใดบ้างผมจำไม่ได้ หลายองค์เสด็จหลบภัยไปบางปะอิน เผอิญในระยะนั้นมีเครื่องบินของอังกฤษบินไปทางบางปะอินและทิ้งระเบิดด้วย แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ใดเป็นอันตราย รุ่งขึ้นผมได้รับคำต่อว่าอย่างรุนแรงจากหัวหน้าเสรีไทยในเรื่องนี้ และได้ส่งคำประท้วงไปอย่างดุเดือดต่อกองบัญชาการทหารอังกฤษ ทางการอังกฤษจึงมีโทรเลขตอบขอโทษ และรับรองว่าจะพยายามมิให้เกิดความพลาดพลั้งอย่างนี้ขึ้นอีก
การที่เสรีไทย โดยเฉพาะหัวหน้าเสรีไทย ได้แสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ถวายความอารักขาให้พ้นภัยสงครามครั้งนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้ทรงซาบซึ้งพระทัยดี และเมื่อสิ้นสงคราม ได้รับสั่งเรียกนายปรีดี พนมยงค์ ไปที่ประทับและขอบใจ ซึ่งคณะเสรีไทยถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง
ทุกครั้งที่นายปรีดีมาบางปะอิน ก็จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
นับจากวันที่นายปรีดีเข้าเฝ้าพระองค์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ มาถึงขณะนั้น เป็นเวลา ๑๕-๑๖ ปีแล้ว
สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ขณะเสด็จประทับที่อยุธยานั้น ทรงมีพระชันษากว่า ๘๐ พรรษาแล้ว ท่านทรงทราบตำแหน่งเก่าหรือเทียบบรรดาศักดิ์เก่ากับตำแหน่งของคนนั้น ๆ เมื่อท่านเสด็จถึงอยุธยา ข้าพเจ้าเบิกข้าราชการเข้าเฝ้า เริ่มต้นด้วย “ข้าหลวงตรวจการมหาดไทยภาค” ข้าพเจ้ากราบทูลตำแหน่งตามระบบราชการใหม่นั้น สังเกตว่า สมเด็จฯ ยังไม่เข้าพระทัย จึงกราบทูลใหม่ว่า “เทศา” ก็ทรงเข้าพระทัย ครั้นแล้วข้าพเจ้าเบิกคนรองไปถวายตัวก็มิได้กราบทูลตำแหน่งของผู้นั้นว่า “ข้าหลวงประจำจังหวัด” คือข้าพเจ้ากราบทูลว่า “เจ้าเมือง” ตลอดไปถึงสรรพสามิตจังหวัดที่เป็นชื่อตำแหน่งใหม่ ข้าพเจ้าก็ได้กราบทูลว่า “หัวหน้าฝิ่นสุรา” ก็เข้าพระทัยได้ดี ฯลฯ๒
ในช่วงนั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ โปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงในพระองค์ นำอาหารมื้อกลางวันและเย็นพระราชทานแก่ครอบครัวข้าพเจ้า ซึ่งหลบภัยสงครามที่บางปะอิน
ณ ที่นี้ ข้าพเจ้าขออนุญาตบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกษาของลูกหลานในยามสงคราม และพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ
ด้วยนายปรีดีกับข้าพเจ้าตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา ไม่อยากให้ลูกหลานปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ จึงปรึกษากันว่าน่าจะตั้งโรงเรียนสำหรับเด็ก ๆ ที่ครอบครัวอพยพมาอยู่บางปะอินและบ้านแป้ง
สาขาโรงเรียนอยุธยาอนุสรณ์จึงได้ก่อตั้งขึ้น ตามกฎของกระทรวงศึกษาธิการ
ห้องเรียนเป็นโรงจาก ๓ หลัง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานพระราชวังบางปะอิน
โรงจากหลังใหญ่อยู่ข้าง “สภาคารราชประยูร”เป็นห้องเรียนเด็กโต ระดับมัธยมศึกษา
โรงจากสองหลังเล็กอยู่หน้า “สภาคารราชประยูร” เป็นห้องเรียนเด็กเล็ก ระดับประถมศึกษา
ครูอาจารย์แต่ละท่านความรู้ดี การสอนสนุกสนาน ทำให้เด็ก ๆ ได้ความรู้และเพลิดเพลิน
ครูผู้สอนส่วนใหญ่เป็นอาจารย์จากโรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) อาทิ มหายัญ คงสมจิต กับ มหาอุบล เปรียญ ๙ ประโยค มีความรู้และเชี่ยวชาญภาษาบาลี-สันสกฤต และภาษาไทย
ครูประสิทธิ์ คุณะดิลก สอนภาษาอังกฤษ ครูนวลจันทร์ ณ ป้อมเพชร์ สอนภาษาฝรั่งเศส
นอกจากนั้น ยังมีครูจากโรงเรียนดรุโณทยาน ครูฉลบชลัยย์ พลางกูร เจ้าของและผู้ก่อตั้งโรงเรียนดรุโณทยาน เชิงสะพานหัวช้าง ถนนพญาไท ภรรยาของคุณจำกัด พลางกูร เสรีไทยที่ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจรับใช้ชาติที่เมืองจุงกิง ประเทศจีน
ครูฉลบชลัยย์มีหน้าที่กวดวิชาให้เด็กนักเรียนแบบเข้มข้นตัวต่อตัว ทั้งวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทย เลขคณิต ธิดาคนหนึ่งของเจ้าพระยารามราฆพก็เป็นศิษย์ของครูฉลบชลัยย์ และยังมีครูสมวงศ์ ปทุมรส ซึ่งเป็นครูที่มากด้วยความสามารถ
นักเรียนสาขาโรงเรียนอยุธยาอนุสรณ์นี้มีเจ้านายที่เป็นหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวงชาย-หญิง จากราชสกุล “เทวกุล” “ชยางกูร” “สวัสดิวัตน์” “ดิศกุล” “ไชยยันต์” “ฉัตรชัย” “ศุขสวัสดิ์” และ “งอนรถ” ฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้ตามเสด็จสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ มาบางปะอิน นอกจากนี้ลูกหลานนายปรีดีกับข้าพเจ้า ลูกหลานข้าราชการหลายครอบครัวก็เรียนที่โรงเรียนนี้
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงพระเมตตาบรรดาครู พระราชทานอาหารเลี้ยงครูทุกมื้อ ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ พญ. วิมลรัตน์ กรัยวิเชียร แพทย์ประจำพระองค์ รักษาพยาบาลครูและนักเรียนด้วย
พระราชจริยวัตรในสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ระหว่างประทับที่พระราชวังบางปะอินนั้น หม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล ประทานเล่าไว้ในหนังสือ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บางตอนว่า
๓ เดือนผ่านไป ลูกระเบิดลงที่เกาะสีชังและรอบ ๆ เกาะ ก็เกาะสีชังนั้นมิได้อยู่ห่างจากศรีราชาเท่าใดนัก ทำให้ดูน่าพรั่นพรึง ท่านผู้ควบคุมขบวนเสด็จจึงนำความเข้ามาทูลประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะเมื่อสมเด็จฯ ตัดสินพระทัยประทับอยู่ต่อที่ศรีราชานั้น ประธานผู้สำเร็จราชการคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา ตรัสสั่งไว้ว่า
“ดีแล้ว ที่จะประทับโรงพยาบาลสมเด็จต่อไป เพราะที่วังสระปทุมก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ถ้ามีเหตุอะไรให้เข้ามาบอกจะจัดการถวายใหม่”
เมื่อประธานผู้สำเร็จฯ ทรงทราบแล้วตรัสว่า “เรื่องนี้น่ะรออีก ๓ วันค่อยมาฟัง เพราะท่านปรีดีได้บอกไว้ว่า ถ้าถึงคราวจะอพยพสมเด็จพระพันวัสสา ท่านปรีดีจะจัดถวายเอง”...
...........................................
ไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใด ดร. ปรีดี ซึ่งเป็นหัวหน้าคนสำคัญในการบั่นทอนอธิปไตยของพระมหากษัตริย์ กลับมาขออาสาเป็นธุระในการที่ถวายความปลอดภัยความสะดวกแด่สมเด็จพระอัยยิกาเจ้า หลายคนแคลงใจ หลายคนชื่นชม แต่จะแคลงใจหรือชื่นชมก็ตาม ความปลอดภัยของสมเด็จพระอัยยิกาเจ้าอยู่เหนือสิ่งใด สำหรับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในขบวนเสด็จอพยพ
ในที่สุดสมเด็จฯ ก็เสด็จจากโรงพยาบาลศรีราชามาประทับที่โรงพยาบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คงเหลืออยู่แต่พระองค์เจ้าวาปี ประทับรักษาพระองค์อยู่ต่อไป เพราะทรงพระประชวร ดร. ปรีดี พนมยงค์ มารับเสด็จ และเชิญเสด็จลงประทับในเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์ นำเรือไปจอดที่นนทบุรีตรงข้ามกับเรือนจำบางขวาง ๑๕ วัน เพื่อรอการจัดที่ประทับที่อยุธยา ระหว่างที่เสด็จอพยพหลบภัยอยู่นี้ สมเด็จฯ ทรงมีพระราชหฤทัยนึกถึงสมเด็จพระราชนัดดาอยู่เสมอ ได้ตรัสว่า
“ดีใจ๊ ดีใจ หลานอยู่เมืองนอกไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงเอาไม่รอด ห่วงหลาน”
ที่อยุธยา ดร. ปรีดีและภรรยาได้เข้าเฝ้าแหน กราบทูลซักถามถึงความสะดวกสบายอยู่เป็นเนืองนิจ จนคนที่คลางแคลงอยู่บางคนชักจะไม่แน่ใจ เพราะกิริยาพาทีในเวลาเข้าเฝ้านั้นเรียบร้อยนัก นุ่มนวลนัก นัยน์ตาก็ไม่มีแววอันควรจะระแวง ครั้งแรกที่เข้าเฝ้า ม.จ. อัปภัศราภา เทวกุล ผู้ควบคุมกระบวนเสด็จ กราบทูลว่าหลวงประดิษฐ์ฯ๓ มาเฝ้า สมเด็จฯ ไม่เคยทรงรู้จักหลวงประดิษฐ์ฯ มาก่อนเลย หลวงประดิษฐ์ฯ คนเดียวที่ทรงรู้จักคือหลวงประดิษฐ์บาทุกา๔ เจ้าของห้างทำรองเท้ามีชื่อแห่งหนึ่งในพระนคร เป็นผู้ทรงพระกรุณาในเรื่องเงินทองอยู่เสมอ จึงตรัสว่า
“อ๋อเขาเอาเงินมาใช้ฉันน่ะ”
“ไม่ใช่เพคะ...” ม.จ. อัปภัศราภา กราบทูล
“ไม่ใช่คนนี้ คนนี้เขาเป็นผู้แทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัว” กราบทูลแล้วเห็นสมเด็จฯ ยังทรงสงสัยอยู่ก็กราบทูลต่อไปว่า
“สมเด็จเจ้าพระยายังไงล่ะเพคะ”
สมเด็จฯ ก็ทรงเข้าพระทัยทันที ทรงมีพระราชปฏิสันถารด้วยเป็นอย่างดี
“มาซิ พ่อคุณ อุตส่าห์มาเยี่ยม”
ตรัสซักถามถึงที่พัก และเมื่อทรงทราบว่าพักอยู่ที่คุ้มขุนแผน ก็ทรงหันไปทางข้าหลวง ตรัสสั่งว่า
“ดูข้าวปลาไปให้เขากินนะ”
เวลาเย็น ๆ ผู้สำเร็จราชการฯ ก็เชิญเสด็จประทับรถยนต์ประพาสรอบๆ เกาะ
“หลานฉันยังเด็กนะ ฝากด้วย”
เป็นกระแสพระราชดำรัสครั้งหนึ่ง ผู้สำเร็จราชการฯ ก็กราบทูลสนองพระราชประสงค์เป็นอย่างดีด้วยความเคารพ ทำให้ผู้ที่ชื่นชมก็ทวีความชื่นชมยิ่งขึ้น ผู้ที่คลางแคลงก็เริ่มจะไม่แน่ใจตนเอง
วันหนึ่งที่วัดมงคลบพิตร จังหวัดอยุธยา สมเด็จฯ ตรัสว่า
“ฉันจะไปปิดทอง”
ตรัสแล้วทรงซื้อทองที่วางขายอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อเสด็จไปถึงองค์พระปรากฏว่าทรงปิดไม่ถึง ผู้สำเร็จราชการจึงกราบทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าจะไปปิดถวาย”
สมเด็จฯ จึงประทานทองให้ไปพร้อมตรัสว่า
“เอาไปปิดเถอะ คนที่ทำบุญด้วยกัน ชาติหน้าก็เป็นญาติกัน”
เล่าลือกันว่า กระแสพระราชดำรัสนั้นทำให้ผู้สำเร็จราชการซาบซึ้งมาก พวกที่ชื่นชมก็สรรเสริญพระปรีชาสามารถในสมเด็จฯ ว่าทรงเปลี่ยนใจคนที่เคยเขียนประกาศประณามพระราชวงศ์ได้อย่างตรงไปตรงมา พวกที่เคลือบแคลงอยู่ก็ยังคงเฝ้าดูต่อไป
ประทับอยู่อยุธยาได้ ๓ เดือน ก็ต้องทรงอพยพใหม่เพราะเกิดพายุใหญ่พัดเอาหลังคาที่ประทับพัง ต้องเสด็จคืนเข้าสู่พระนคร แต่มิได้ไปประทับที่วังสระปทุม เพราะบริเวณนั้นมีสภาพเป็นดงญี่ปุ่น เสด็จประทับที่พระตำหนักในพระบรมมหาราชวัง
หม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล ทรงประคองสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ที่วังสระปทุม
สมเด็จฯ ประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังได้ ๖ เดือน ก็ต้องตกพระทัยอย่างยิ่ง เพราะวันหนึ่งได้มีการทิ้งระเบิดในพระนครครั้งใหญ่ ลูกระเบิดลงที่บางกอกน้อย วัดสุทัศน์ และในพระบรมมหาราชวังลงที่พระที่นั่งบรมพิมาน และพระที่นั่งพิมานรัถยา อันอยู่ขวาซ้ายของพระตำหนักที่ประทับไม่กี่เส้น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงเชิญเสด็จหลบภัยไปประทับอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน โดยทอดเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์ให้เป็นที่ประทับอยู่หน้าพระที่นั่งวโรภาศ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ประทับที่ตำหนักของสมเด็จฯ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารีประทับที่ตำหนักพระราชเทวี สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ประทับที่ “เก้าห้อง” พระองค์เจ้าอาทรฯ ประทับที่ตำหนักพระราชชายา ข้าราชบริพารก็พักตามเรือนเล็กตำหนักน้อยทั่วกันไป ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล และ ม.จ. พัฒนายุ ดิศกุล ประทับที่วัดนิเวศธรรมประวัติ ตรงข้ามพระราชวัง พระราชวังบางปะอินก็กลับคืนสู่สภาพมีชีวิตขึ้นบ้าง ผู้สำเร็จราชการนั้นจอดเรือประจำทวีปอยู่ที่หน้า “สภาคารราชประยูร” อันเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เขตพระราชวังบางปะอินก็เป็นเขตพระราชฐานโดยแท้จริง ผู้ใดจะกล้ำกรายเข้าไปไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหารทั้งไทยทั้งญี่ปุ่น พระบารมีของสมเด็จฯ แผ่ครอบบางปะอินเป็นที่ร่มรื่นอยู่นานถึงเก้าเดือน
ชาวบ้านในแถบนั้นก็กลับมีขวัญดีชวนกันมาเฝ้า หาอะไรแสดงถวายให้ทอดพระเนตรเพื่อทรงพระสำราญดังที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติมาในกาลก่อน บางวันก็มาแข่งเรือถวายให้ทอดพระเนตร บางวันก็มาเล่นเพลงเรือถวายให้ทรงฟัง บางคืนก็มารำวงถวาย เพราะการรำวงในสมัยนั้นแพร่หลายมาก ทางราชการเองก็ให้หยุดวันพุธครึ่งวันเพื่อข้าราชการได้หัดรำวงกัน สมเด็จฯ ก็พระราชทานผ้าห่ม เสื้อผ้า แก่เขาเหล่านั้น ของเหล่านี้ในระหว่างสงครามแพงมากที่สุด แต่ผู้สำเร็จราชการจัดหามาถวายจาก “อ.จ.ส.” คือร้านค้าของทางราชการในราคาถูก
เย็น ๆ ก็เสด็จขึ้นทรงโครเกที่สนามหน้าพระที่นั่งวโรภาศ และก็เช่นเคย ทรงรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสว่า
“ฉันเคยเล่นโครเกกับพระพุทธเจ้าหลวงที่สนามข้างใน นี่ไม่มีใครจะเล่นกับฉัน ได้ตายกันเสียหมด”
ผู้สำเร็จราชการก็หมั่นเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เสมอ จนเจ้านายที่ตามเสด็จที่เคยไม่โปรดก็เริ่มจะโปรด เสด็จพระองค์ประดิษฐาฯ เคยตรัสเล่าให้ผู้เขียนฟังวันหนึ่งว่า
“ผู้สำเร็จฯ นี่เขาดีนะ เมื่อวานเขาเดินผ่านมาเห็นขุดดินปลูกต้นไม้อยู่ เขาว่าดี ได้ออกกำลัง”
วันเกิดผู้สำเร็จฯ ผู้คุมกระบวนเสด็จก็จัดให้มีการแสดงละครสิ่งละอันพันละน้อยให้เป็นการตอบแทนน้ำใจ พวกที่ชื่นชมยินดีในการกลับใจได้ของ ดร. ปรีดี ก็ชื่นชมไป ฝ่ายที่คลางแคลงและหัวแข็งก็ยังไม่ยอมลงใจสนิท เก้าเดือนในบางปะอินเป็นเก้าเดือนแห่งความสุขของทุกคนที่บางปะอินอย่างดีที่สุดที่จะหาได้ในยามสงคราม ส่วนสมเด็จฯ นั้นทรงพระประชวรไข้หวัด เมื่อหายประชวรแล้ว พระอธิษฐานที่เคยทรงไว้เมื่อครั้งถวายพระเพลิงสมเด็จพระราชธิดาพระองค์ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ว่า ขอให้ทรงลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด เริ่มจะเป็นผลบ้าง แต่ทุกคราวที่มีคนมาเฝ้าก็ตั้งพระสติได้ ผู้สำเร็จราชการนั้นทุกคราวที่มาเฝ้า จะทรงต้อนรับอย่างดี เคยตรัสด้วยว่า
“พ่อคุณเถอะ ฝากหลานด้วยนะ พ่อมาทำบุญกับคนแก่นี่ พ่อได้กุศล”
ผู้สำเร็จฯ ก็รับพระราชเสาวนีย์ด้วยกิริยามารยาทอันงดงาม เจ้านายทั้งหลายเห็นใจในการที่ผู้สำเร็จฯ มาอยู่ใกล้ชิดเป็นประจำทำให้อุ่นพระทัยกันทั่ว แต่ไม่มีสักพระองค์หรือสักคนจะทราบว่าภายใน “สภาคารราชประยูร” อันเป็นที่พักของผู้สำเร็จฯ นั้น คือสถานที่บัญชาการเสรีไทยในประเทศ มีเครื่องรับ-ส่งวิทยุอันทันสมัยอยู่ชั้นล่างอย่างมิดชิด
นายเฉลียว ปทุมรส ผู้อยู่ในตำแหน่งรองราชเลขาธิการสำนักพระราชวังก็กว้างขวาง ได้รับการนับหน้าถือตาอย่างแพร่หลายในกระบวนเสด็จ และกว้างขวางอยู่ต่อมาอีกนานจนเสร็จสงคราม
ม.จ. หญิงอัปภัศราภา เทวกุล (ที่ ๒ จากซ้าย) และหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน์ (ขวาสุด) บ้านอองโตนี พ.ศ. ๒๕๑๕
เกี่ยวกับคำประทานของหม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล นี้ นายปรีดีได้เขียนไว้ในบทความ “คำชี้แจงเพิ่มเติมประกอบ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒“ ว่า
ต่อมาเมื่อปลายเดือนมีนาคมปีนี้๕ หม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล ที่ได้ทรงรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตั้งแต่ท่านหญิงมีพระชันษา ๗ พรรษา จนกระทั่งสมเด็จพระองค์นั้นสวรรคต ได้นำหนังสือ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา มาประทานข้าพเจ้า ๑ เล่ม ในหนังสือเล่มนั้นมีตอนหนึ่งที่ท่านหญิงได้ประทานเล่าเรื่องไว้เกี่ยวกับข้าพเจ้าและเสรีไทย บางคนที่ถวายความปลอดภัยแด่สมเด็จพระองค์นั้น และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ระหว่างสงครามครั้งที่แล้ว ท่านหญิงฯ กล่าวไว้ในคำนำหนังสือเล่มนั้นว่า ก่อนที่จะทรงเล่าให้ผู้จัดพิมพ์นำไปลงพิมพ์นั้น ท่านหญิงฯ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน มีพระราชกระแสรับสั่งว่า “ถ้าเป็นความจริงก็เล่าได้” ท่านหญิงฯ จึงเขียนในท้ายคำนำว่า “ยึดถือตามพระราชกระแสดำรัสนั้น ถ้าเป็นความจริงที่ข้าพเจ้าได้ยินกับหูเห็นด้วยลูกนัยน์ตา ก็จะเล่าให้คุณสมภพ๖ (ผู้จัดทำหนังสือเล่มนั้น) ฟัง เพื่อช่วยคุณสมภพให้เขียนเรื่องได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อทหารสัมพันธมิตรเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีกองทัพญี่ปุ่นในประเทศไทย จุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ของญี่ปุ่นในพระนครเป็นเป้าการโจมตีทางอากาศของเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ พระที่นั่งอนันตสมาคมถูกระเบิดเสียหาย
นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย ได้ติดต่อขอให้ฝ่ายสัมพันธมิตรละเว้นการทิ้งระเบิดบริเวณพระบรมมหาราชวังและโบราณสถานอันทรงคุณค่าของชาติไทย และได้กำชับมิให้ทิ้งระเบิดวังสระปทุม อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ด้วยสถานการณ์สงครามทวีความรุนแรง และไม่เป็นที่ไว้วางใจ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ถวายความปลอดภัยแด่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ด้วยการอัญเชิญมาประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงประทับในเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์
ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เสรีไทยสายอังกฤษ เขียนไว้ในบทความ “พระบรมวงศานุวงศ์ และขบวนการเสรีไทย” ตอนหนึ่งว่า
ระหว่างที่ผมส่งวิทยุอยู่ดังกล่าวข้างต้นนั้น ทางการทหารอังกฤษได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในประเทศไทยเป็นระยะ ๆ หัวหน้าเสรีไทยจึงได้มีโทรเลขแจ้งไปยังอังกฤษว่า บางทีเครื่องบินทหารอังกฤษมาทิ้งระเบิดเปะปะ ขอให้ระมัดระวังให้ดี เฉพาะอย่างยิ่ง อย่าทิ้งที่พระบรมมหาราชวังหรือวังของเจ้านายต่าง ๆ ให้หลีกเลี่ยงพระบรมวงศานุวงศ์และที่ตั้งรัฐบาล กับที่ทำการเสรีไทยต่าง ๆ ได้แจ้งสถานที่ต่าง ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงไปอย่างชัดเจน ทางอังกฤษก็ตอบรับคำว่าจะปฏิบัติตาม
ครั้งหนึ่งมีพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งจะเป็นผู้ใดบ้างผมจำไม่ได้ หลายองค์เสด็จหลบภัยไปบางปะอิน เผอิญในระยะนั้นมีเครื่องบินของอังกฤษบินไปทางบางปะอินและทิ้งระเบิดด้วย แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ใดเป็นอันตราย รุ่งขึ้นผมได้รับคำต่อว่าอย่างรุนแรงจากหัวหน้าเสรีไทยในเรื่องนี้ และได้ส่งคำประท้วงไปอย่างดุเดือดต่อกองบัญชาการทหารอังกฤษ ทางการอังกฤษจึงมีโทรเลขตอบขอโทษ และรับรองว่าจะพยายามมิให้เกิดความพลาดพลั้งอย่างนี้ขึ้นอีก
การที่เสรีไทย โดยเฉพาะหัวหน้าเสรีไทย ได้แสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ถวายความอารักขาให้พ้นภัยสงครามครั้งนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้ทรงซาบซึ้งพระทัยดี และเมื่อสิ้นสงคราม ได้รับสั่งเรียกนายปรีดี พนมยงค์ ไปที่ประทับและขอบใจ ซึ่งคณะเสรีไทยถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง
ทุกครั้งที่นายปรีดีมาบางปะอิน ก็จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
นับจากวันที่นายปรีดีเข้าเฝ้าพระองค์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ มาถึงขณะนั้น เป็นเวลา ๑๕-๑๖ ปีแล้ว
สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ขณะเสด็จประทับที่อยุธยานั้น ทรงมีพระชันษากว่า ๘๐ พรรษาแล้ว ท่านทรงทราบตำแหน่งเก่าหรือเทียบบรรดาศักดิ์เก่ากับตำแหน่งของคนนั้น ๆ เมื่อท่านเสด็จถึงอยุธยา ข้าพเจ้าเบิกข้าราชการเข้าเฝ้า เริ่มต้นด้วย “ข้าหลวงตรวจการมหาดไทยภาค” ข้าพเจ้ากราบทูลตำแหน่งตามระบบราชการใหม่นั้น สังเกตว่า สมเด็จฯ ยังไม่เข้าพระทัย จึงกราบทูลใหม่ว่า “เทศา” ก็ทรงเข้าพระทัย ครั้นแล้วข้าพเจ้าเบิกคนรองไปถวายตัวก็มิได้กราบทูลตำแหน่งของผู้นั้นว่า “ข้าหลวงประจำจังหวัด” คือข้าพเจ้ากราบทูลว่า “เจ้าเมือง” ตลอดไปถึงสรรพสามิตจังหวัดที่เป็นชื่อตำแหน่งใหม่ ข้าพเจ้าก็ได้กราบทูลว่า “หัวหน้าฝิ่นสุรา” ก็เข้าพระทัยได้ดี ฯลฯ๒
ในช่วงนั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ โปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงในพระองค์ นำอาหารมื้อกลางวันและเย็นพระราชทานแก่ครอบครัวข้าพเจ้า ซึ่งหลบภัยสงครามที่บางปะอิน
ณ ที่นี้ ข้าพเจ้าขออนุญาตบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกษาของลูกหลานในยามสงคราม และพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ
ด้วยนายปรีดีกับข้าพเจ้าตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา ไม่อยากให้ลูกหลานปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ จึงปรึกษากันว่าน่าจะตั้งโรงเรียนสำหรับเด็ก ๆ ที่ครอบครัวอพยพมาอยู่บางปะอินและบ้านแป้ง
สาขาโรงเรียนอยุธยาอนุสรณ์จึงได้ก่อตั้งขึ้น ตามกฎของกระทรวงศึกษาธิการ
ห้องเรียนเป็นโรงจาก ๓ หลัง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานพระราชวังบางปะอิน
โรงจากหลังใหญ่อยู่ข้าง “สภาคารราชประยูร”เป็นห้องเรียนเด็กโต ระดับมัธยมศึกษา
โรงจากสองหลังเล็กอยู่หน้า “สภาคารราชประยูร” เป็นห้องเรียนเด็กเล็ก ระดับประถมศึกษา
ครูอาจารย์แต่ละท่านความรู้ดี การสอนสนุกสนาน ทำให้เด็ก ๆ ได้ความรู้และเพลิดเพลิน
ครูผู้สอนส่วนใหญ่เป็นอาจารย์จากโรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) อาทิ มหายัญ คงสมจิต กับ มหาอุบล เปรียญ ๙ ประโยค มีความรู้และเชี่ยวชาญภาษาบาลี-สันสกฤต และภาษาไทย
ครูประสิทธิ์ คุณะดิลก สอนภาษาอังกฤษ ครูนวลจันทร์ ณ ป้อมเพชร์ สอนภาษาฝรั่งเศส
นอกจากนั้น ยังมีครูจากโรงเรียนดรุโณทยาน ครูฉลบชลัยย์ พลางกูร เจ้าของและผู้ก่อตั้งโรงเรียนดรุโณทยาน เชิงสะพานหัวช้าง ถนนพญาไท ภรรยาของคุณจำกัด พลางกูร เสรีไทยที่ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจรับใช้ชาติที่เมืองจุงกิง ประเทศจีน
ครูฉลบชลัยย์มีหน้าที่กวดวิชาให้เด็กนักเรียนแบบเข้มข้นตัวต่อตัว ทั้งวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทย เลขคณิต ธิดาคนหนึ่งของเจ้าพระยารามราฆพก็เป็นศิษย์ของครูฉลบชลัยย์ และยังมีครูสมวงศ์ ปทุมรส ซึ่งเป็นครูที่มากด้วยความสามารถ
นักเรียนสาขาโรงเรียนอยุธยาอนุสรณ์นี้มีเจ้านายที่เป็นหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวงชาย-หญิง จากราชสกุล “เทวกุล” “ชยางกูร” “สวัสดิวัตน์” “ดิศกุล” “ไชยยันต์” “ฉัตรชัย” “ศุขสวัสดิ์” และ “งอนรถ” ฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้ตามเสด็จสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ มาบางปะอิน นอกจากนี้ลูกหลานนายปรีดีกับข้าพเจ้า ลูกหลานข้าราชการหลายครอบครัวก็เรียนที่โรงเรียนนี้
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงพระเมตตาบรรดาครู พระราชทานอาหารเลี้ยงครูทุกมื้อ ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ พญ. วิมลรัตน์ กรัยวิเชียร แพทย์ประจำพระองค์ รักษาพยาบาลครูและนักเรียนด้วย
พระราชจริยวัตรในสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ระหว่างประทับที่พระราชวังบางปะอินนั้น หม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล ประทานเล่าไว้ในหนังสือ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บางตอนว่า
๓ เดือนผ่านไป ลูกระเบิดลงที่เกาะสีชังและรอบ ๆ เกาะ ก็เกาะสีชังนั้นมิได้อยู่ห่างจากศรีราชาเท่าใดนัก ทำให้ดูน่าพรั่นพรึง ท่านผู้ควบคุมขบวนเสด็จจึงนำความเข้ามาทูลประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะเมื่อสมเด็จฯ ตัดสินพระทัยประทับอยู่ต่อที่ศรีราชานั้น ประธานผู้สำเร็จราชการคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา ตรัสสั่งไว้ว่า
“ดีแล้ว ที่จะประทับโรงพยาบาลสมเด็จต่อไป เพราะที่วังสระปทุมก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ถ้ามีเหตุอะไรให้เข้ามาบอกจะจัดการถวายใหม่”
เมื่อประธานผู้สำเร็จฯ ทรงทราบแล้วตรัสว่า “เรื่องนี้น่ะรออีก ๓ วันค่อยมาฟัง เพราะท่านปรีดีได้บอกไว้ว่า ถ้าถึงคราวจะอพยพสมเด็จพระพันวัสสา ท่านปรีดีจะจัดถวายเอง”...
...........................................
ไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใด ดร. ปรีดี ซึ่งเป็นหัวหน้าคนสำคัญในการบั่นทอนอธิปไตยของพระมหากษัตริย์ กลับมาขออาสาเป็นธุระในการที่ถวายความปลอดภัยความสะดวกแด่สมเด็จพระอัยยิกาเจ้า หลายคนแคลงใจ หลายคนชื่นชม แต่จะแคลงใจหรือชื่นชมก็ตาม ความปลอดภัยของสมเด็จพระอัยยิกาเจ้าอยู่เหนือสิ่งใด สำหรับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในขบวนเสด็จอพยพ
ในที่สุดสมเด็จฯ ก็เสด็จจากโรงพยาบาลศรีราชามาประทับที่โรงพยาบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คงเหลืออยู่แต่พระองค์เจ้าวาปี ประทับรักษาพระองค์อยู่ต่อไป เพราะทรงพระประชวร ดร. ปรีดี พนมยงค์ มารับเสด็จ และเชิญเสด็จลงประทับในเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์ นำเรือไปจอดที่นนทบุรีตรงข้ามกับเรือนจำบางขวาง ๑๕ วัน เพื่อรอการจัดที่ประทับที่อยุธยา ระหว่างที่เสด็จอพยพหลบภัยอยู่นี้ สมเด็จฯ ทรงมีพระราชหฤทัยนึกถึงสมเด็จพระราชนัดดาอยู่เสมอ ได้ตรัสว่า
“ดีใจ๊ ดีใจ หลานอยู่เมืองนอกไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงเอาไม่รอด ห่วงหลาน”
ที่อยุธยา ดร. ปรีดีและภรรยาได้เข้าเฝ้าแหน กราบทูลซักถามถึงความสะดวกสบายอยู่เป็นเนืองนิจ จนคนที่คลางแคลงอยู่บางคนชักจะไม่แน่ใจ เพราะกิริยาพาทีในเวลาเข้าเฝ้านั้นเรียบร้อยนัก นุ่มนวลนัก นัยน์ตาก็ไม่มีแววอันควรจะระแวง ครั้งแรกที่เข้าเฝ้า ม.จ. อัปภัศราภา เทวกุล ผู้ควบคุมกระบวนเสด็จ กราบทูลว่าหลวงประดิษฐ์ฯ๓ มาเฝ้า สมเด็จฯ ไม่เคยทรงรู้จักหลวงประดิษฐ์ฯ มาก่อนเลย หลวงประดิษฐ์ฯ คนเดียวที่ทรงรู้จักคือหลวงประดิษฐ์บาทุกา๔ เจ้าของห้างทำรองเท้ามีชื่อแห่งหนึ่งในพระนคร เป็นผู้ทรงพระกรุณาในเรื่องเงินทองอยู่เสมอ จึงตรัสว่า
“อ๋อเขาเอาเงินมาใช้ฉันน่ะ”
“ไม่ใช่เพคะ...” ม.จ. อัปภัศราภา กราบทูล
“ไม่ใช่คนนี้ คนนี้เขาเป็นผู้แทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัว” กราบทูลแล้วเห็นสมเด็จฯ ยังทรงสงสัยอยู่ก็กราบทูลต่อไปว่า
“สมเด็จเจ้าพระยายังไงล่ะเพคะ”
สมเด็จฯ ก็ทรงเข้าพระทัยทันที ทรงมีพระราชปฏิสันถารด้วยเป็นอย่างดี
“มาซิ พ่อคุณ อุตส่าห์มาเยี่ยม”
ตรัสซักถามถึงที่พัก และเมื่อทรงทราบว่าพักอยู่ที่คุ้มขุนแผน ก็ทรงหันไปทางข้าหลวง ตรัสสั่งว่า
“ดูข้าวปลาไปให้เขากินนะ”
เวลาเย็น ๆ ผู้สำเร็จราชการฯ ก็เชิญเสด็จประทับรถยนต์ประพาสรอบๆ เกาะ
“หลานฉันยังเด็กนะ ฝากด้วย”
เป็นกระแสพระราชดำรัสครั้งหนึ่ง ผู้สำเร็จราชการฯ ก็กราบทูลสนองพระราชประสงค์เป็นอย่างดีด้วยความเคารพ ทำให้ผู้ที่ชื่นชมก็ทวีความชื่นชมยิ่งขึ้น ผู้ที่คลางแคลงก็เริ่มจะไม่แน่ใจตนเอง
วันหนึ่งที่วัดมงคลบพิตร จังหวัดอยุธยา สมเด็จฯ ตรัสว่า
“ฉันจะไปปิดทอง”
ตรัสแล้วทรงซื้อทองที่วางขายอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อเสด็จไปถึงองค์พระปรากฏว่าทรงปิดไม่ถึง ผู้สำเร็จราชการจึงกราบทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าจะไปปิดถวาย”
สมเด็จฯ จึงประทานทองให้ไปพร้อมตรัสว่า
“เอาไปปิดเถอะ คนที่ทำบุญด้วยกัน ชาติหน้าก็เป็นญาติกัน”
เล่าลือกันว่า กระแสพระราชดำรัสนั้นทำให้ผู้สำเร็จราชการซาบซึ้งมาก พวกที่ชื่นชมก็สรรเสริญพระปรีชาสามารถในสมเด็จฯ ว่าทรงเปลี่ยนใจคนที่เคยเขียนประกาศประณามพระราชวงศ์ได้อย่างตรงไปตรงมา พวกที่เคลือบแคลงอยู่ก็ยังคงเฝ้าดูต่อไป
ประทับอยู่อยุธยาได้ ๓ เดือน ก็ต้องทรงอพยพใหม่เพราะเกิดพายุใหญ่พัดเอาหลังคาที่ประทับพัง ต้องเสด็จคืนเข้าสู่พระนคร แต่มิได้ไปประทับที่วังสระปทุม เพราะบริเวณนั้นมีสภาพเป็นดงญี่ปุ่น เสด็จประทับที่พระตำหนักในพระบรมมหาราชวัง
หม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล ทรงประคองสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ที่วังสระปทุม
สมเด็จฯ ประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังได้ ๖ เดือน ก็ต้องตกพระทัยอย่างยิ่ง เพราะวันหนึ่งได้มีการทิ้งระเบิดในพระนครครั้งใหญ่ ลูกระเบิดลงที่บางกอกน้อย วัดสุทัศน์ และในพระบรมมหาราชวังลงที่พระที่นั่งบรมพิมาน และพระที่นั่งพิมานรัถยา อันอยู่ขวาซ้ายของพระตำหนักที่ประทับไม่กี่เส้น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงเชิญเสด็จหลบภัยไปประทับอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน โดยทอดเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์ให้เป็นที่ประทับอยู่หน้าพระที่นั่งวโรภาศ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ประทับที่ตำหนักของสมเด็จฯ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารีประทับที่ตำหนักพระราชเทวี สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ประทับที่ “เก้าห้อง” พระองค์เจ้าอาทรฯ ประทับที่ตำหนักพระราชชายา ข้าราชบริพารก็พักตามเรือนเล็กตำหนักน้อยทั่วกันไป ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล และ ม.จ. พัฒนายุ ดิศกุล ประทับที่วัดนิเวศธรรมประวัติ ตรงข้ามพระราชวัง พระราชวังบางปะอินก็กลับคืนสู่สภาพมีชีวิตขึ้นบ้าง ผู้สำเร็จราชการนั้นจอดเรือประจำทวีปอยู่ที่หน้า “สภาคารราชประยูร” อันเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เขตพระราชวังบางปะอินก็เป็นเขตพระราชฐานโดยแท้จริง ผู้ใดจะกล้ำกรายเข้าไปไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหารทั้งไทยทั้งญี่ปุ่น พระบารมีของสมเด็จฯ แผ่ครอบบางปะอินเป็นที่ร่มรื่นอยู่นานถึงเก้าเดือน
ชาวบ้านในแถบนั้นก็กลับมีขวัญดีชวนกันมาเฝ้า หาอะไรแสดงถวายให้ทอดพระเนตรเพื่อทรงพระสำราญดังที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติมาในกาลก่อน บางวันก็มาแข่งเรือถวายให้ทอดพระเนตร บางวันก็มาเล่นเพลงเรือถวายให้ทรงฟัง บางคืนก็มารำวงถวาย เพราะการรำวงในสมัยนั้นแพร่หลายมาก ทางราชการเองก็ให้หยุดวันพุธครึ่งวันเพื่อข้าราชการได้หัดรำวงกัน สมเด็จฯ ก็พระราชทานผ้าห่ม เสื้อผ้า แก่เขาเหล่านั้น ของเหล่านี้ในระหว่างสงครามแพงมากที่สุด แต่ผู้สำเร็จราชการจัดหามาถวายจาก “อ.จ.ส.” คือร้านค้าของทางราชการในราคาถูก
เย็น ๆ ก็เสด็จขึ้นทรงโครเกที่สนามหน้าพระที่นั่งวโรภาศ และก็เช่นเคย ทรงรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสว่า
“ฉันเคยเล่นโครเกกับพระพุทธเจ้าหลวงที่สนามข้างใน นี่ไม่มีใครจะเล่นกับฉัน ได้ตายกันเสียหมด”
ผู้สำเร็จราชการก็หมั่นเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เสมอ จนเจ้านายที่ตามเสด็จที่เคยไม่โปรดก็เริ่มจะโปรด เสด็จพระองค์ประดิษฐาฯ เคยตรัสเล่าให้ผู้เขียนฟังวันหนึ่งว่า
“ผู้สำเร็จฯ นี่เขาดีนะ เมื่อวานเขาเดินผ่านมาเห็นขุดดินปลูกต้นไม้อยู่ เขาว่าดี ได้ออกกำลัง”
วันเกิดผู้สำเร็จฯ ผู้คุมกระบวนเสด็จก็จัดให้มีการแสดงละครสิ่งละอันพันละน้อยให้เป็นการตอบแทนน้ำใจ พวกที่ชื่นชมยินดีในการกลับใจได้ของ ดร. ปรีดี ก็ชื่นชมไป ฝ่ายที่คลางแคลงและหัวแข็งก็ยังไม่ยอมลงใจสนิท เก้าเดือนในบางปะอินเป็นเก้าเดือนแห่งความสุขของทุกคนที่บางปะอินอย่างดีที่สุดที่จะหาได้ในยามสงคราม ส่วนสมเด็จฯ นั้นทรงพระประชวรไข้หวัด เมื่อหายประชวรแล้ว พระอธิษฐานที่เคยทรงไว้เมื่อครั้งถวายพระเพลิงสมเด็จพระราชธิดาพระองค์ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ว่า ขอให้ทรงลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด เริ่มจะเป็นผลบ้าง แต่ทุกคราวที่มีคนมาเฝ้าก็ตั้งพระสติได้ ผู้สำเร็จราชการนั้นทุกคราวที่มาเฝ้า จะทรงต้อนรับอย่างดี เคยตรัสด้วยว่า
“พ่อคุณเถอะ ฝากหลานด้วยนะ พ่อมาทำบุญกับคนแก่นี่ พ่อได้กุศล”
ผู้สำเร็จฯ ก็รับพระราชเสาวนีย์ด้วยกิริยามารยาทอันงดงาม เจ้านายทั้งหลายเห็นใจในการที่ผู้สำเร็จฯ มาอยู่ใกล้ชิดเป็นประจำทำให้อุ่นพระทัยกันทั่ว แต่ไม่มีสักพระองค์หรือสักคนจะทราบว่าภายใน “สภาคารราชประยูร” อันเป็นที่พักของผู้สำเร็จฯ นั้น คือสถานที่บัญชาการเสรีไทยในประเทศ มีเครื่องรับ-ส่งวิทยุอันทันสมัยอยู่ชั้นล่างอย่างมิดชิด
นายเฉลียว ปทุมรส ผู้อยู่ในตำแหน่งรองราชเลขาธิการสำนักพระราชวังก็กว้างขวาง ได้รับการนับหน้าถือตาอย่างแพร่หลายในกระบวนเสด็จ และกว้างขวางอยู่ต่อมาอีกนานจนเสร็จสงคราม
ม.จ. หญิงอัปภัศราภา เทวกุล (ที่ ๒ จากซ้าย) และหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน์ (ขวาสุด) บ้านอองโตนี พ.ศ. ๒๕๑๕
เกี่ยวกับคำประทานของหม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล นี้ นายปรีดีได้เขียนไว้ในบทความ “คำชี้แจงเพิ่มเติมประกอบ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒“ ว่า
ต่อมาเมื่อปลายเดือนมีนาคมปีนี้๕ หม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล ที่ได้ทรงรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตั้งแต่ท่านหญิงมีพระชันษา ๗ พรรษา จนกระทั่งสมเด็จพระองค์นั้นสวรรคต ได้นำหนังสือ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา มาประทานข้าพเจ้า ๑ เล่ม ในหนังสือเล่มนั้นมีตอนหนึ่งที่ท่านหญิงได้ประทานเล่าเรื่องไว้เกี่ยวกับข้าพเจ้าและเสรีไทย บางคนที่ถวายความปลอดภัยแด่สมเด็จพระองค์นั้น และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ระหว่างสงครามครั้งที่แล้ว ท่านหญิงฯ กล่าวไว้ในคำนำหนังสือเล่มนั้นว่า ก่อนที่จะทรงเล่าให้ผู้จัดพิมพ์นำไปลงพิมพ์นั้น ท่านหญิงฯ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน มีพระราชกระแสรับสั่งว่า “ถ้าเป็นความจริงก็เล่าได้” ท่านหญิงฯ จึงเขียนในท้ายคำนำว่า “ยึดถือตามพระราชกระแสดำรัสนั้น ถ้าเป็นความจริงที่ข้าพเจ้าได้ยินกับหูเห็นด้วยลูกนัยน์ตา ก็จะเล่าให้คุณสมภพ๖ (ผู้จัดทำหนังสือเล่มนั้น) ฟัง เพื่อช่วยคุณสมภพให้เขียนเรื่องได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
๓. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
เมื่อสงครามสิ้นสุด สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จกลับมาประทับ ณ วังสระปทุมดังเดิม
ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์เป็นประจำเช่นเคย บางครั้งก็พาบุตรสาวเขัาเฝ้าด้วย
พระองค์ทรงถามชื่อบุตรสาวคนเล็กของข้าพเจ้า เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าชื่อ “วาณี พระองค์ตรัสว่า “ชื่อเหมือนพี่ฉัน”
พระองค์ทรงถามและตรัสเช่นนี้ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าพาบุตรสาวคนเล็กเข้าเฝ้า
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๐ กันยายน ๒๔๘๙ ข้าพเจ้าไปเฝ้าถวายพระพร พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเหมือนเดิม ยังความซาบซึ้งใจตราบเท่าทุกวันนี้
เมื่อสงครามสิ้นสุด สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จกลับมาประทับ ณ วังสระปทุมดังเดิม
ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์เป็นประจำเช่นเคย บางครั้งก็พาบุตรสาวเขัาเฝ้าด้วย
พระองค์ทรงถามชื่อบุตรสาวคนเล็กของข้าพเจ้า เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าชื่อ “วาณี พระองค์ตรัสว่า “ชื่อเหมือนพี่ฉัน”
พระองค์ทรงถามและตรัสเช่นนี้ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าพาบุตรสาวคนเล็กเข้าเฝ้า
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๐ กันยายน ๒๔๘๙ ข้าพเจ้าไปเฝ้าถวายพระพร พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเหมือนเดิม ยังความซาบซึ้งใจตราบเท่าทุกวันนี้
บทความจาก วารสารสารคดี ฉบับที่ ๒๖๙ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๐
http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=759
http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=759
(เชิงอรรถ)
๑ พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์)
๒ ปรีดี พนมยงค์, “คำชี้แจงเพิ่มเติมประกอบ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒“
๓ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
๔ หลวงประดิษฐ์บาทุกา (เซ่งชง)
๕ พ.ศ. ๒๕๑๕ ๖ สมภพ จันทรประภา
หมายเหตุ : ภาพจากหนังสือ ศรีสวรินทิรานุสรณีย์ น้อมรำลึกถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
หมายเหตุ : ภาพจากหนังสือ ศรีสวรินทิรานุสรณีย์ น้อมรำลึกถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
No comments:
Post a Comment