Thursday, August 23, 2007

บทความที่ ๒๓๘.วาสนาคนไทยได้แค่ไสยศาสตร์ (จบ)

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)บรรยายธรรมเรื่อง
“การบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” และเรื่อง
“เข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับจตุคามรามเทพ”
บรรยายธรรมที่วัดญาณเวศกวัน วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๐
ผู้กราบเรียนถาม : ตอนนี้มีเรื่องน่าเป็นห่วงคือเรื่องจตุคามรามเทพ เป็นการนับถือเทพมากกว่าพระพุทธเจ้า ตอนนี้วัยรุ่น พ่อแม่ให้ห้อยพระไม่ห้อย แต่ห้อยจตุคาม-

พระพรหมคุณาภรณ์ : ไม่ใช่เฉพาะญาติโยม เป็นพระด้วยคือ -

ผู้กราบเรียนถาม : เป็นเรื่องน่าหัวเราะมากเลย ห้อยจตุคามองค์เบ้อเริ่ม -

พระพรหมคุณาภรณ์ : เหรอ,อันนั่นอาจจะเป็นแฟชั่นได้ แต่ทีนี้วัดน่ะไปถือโอกาสหา-รายได้ หาผลประโยชน์, หนึ่ง -

ผู้กราบเรียนถาม : มีตั้งหลายวัด มีตั้งหลายหน้า -

พระพรหมคุณาภรณ์ : หนึ่ง-หาลาภ,สอง-มาเสียหลักการ เพราะว่าวัดไปปลุกเสกเทพได้อย่างไร ? ไปปลุกเสกในวัด ?

มันมีเข้าหลักอยู่นิดหนึ่ง แต่ว่าเราต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่ไปมัวเถียงกันสองฝ่ายอย่างเดียว ไม่ใช่เป็นฝ่ายเอาหรือไม่เอาเรื่องจตุคามรามเทพ มันมีเรื่องต้องเข้าใจเขาด้วย แล้วก็มีแง่น่าเห็นใจอยู่นิดหน่อย แต่ไม่มีแง่ที่จะตามใจ ! เข้าใจ เห็นใจ แต่ไม่ตามใจ !

คือว่า จตุคามรามเทพนี่ ตามประวัติเป็นเทพเฝ้าพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช อันนี้ก็คือหลักที่อาตมาเลยเล่าไว้แล้วในเรื่องนี้ เรื่อง -

ผู้กราบเรียนถาม : เรื่อง ”พระพรหม พระภูมิ”

พระพรหมคุณาภรณ์ : อยู่ในเรื่อง “พระพรหมพระภูมิ” คือให้เห็นความเป็นมาของพระพุทธศาสนา คติโบราณของเราที่ถือว่าพระศักดิ์สิทธิ์ อย่างหลวงพ่อโสธร พระแก้วฯ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องกัน ก็นึกไปว่าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้บันดาลโน่นนี่ มันไม่ใช่ !!!

มันมีเทพผู้ใหญ่คอยรักษา คือเวลามีการสร้างสถานที่สำคัญอะไรต่างๆ เป็นคติโบราณมาตั้งแต่ในคัมภีร์ต่างๆ พอสร้างที่สำคัญแม้แต่บ้านชาวบ้านพวกเทวดาก็จะไปจับจองยึดครองสถานที่ ถ้าเป็นบ้านผู้ร่ำรวยเศรษฐีก็เช่นว่าซุ้มประตูบ้าน เช่นซุ้มประตูบ้านอนาถบิณฑเศรษฐี อันนี้เป็นคติโบราณเก่า นี่ก็จะมีเรื่องในคัมภีร์เยอะที่ว่าพวกเทพเหล่านี้ก็ไม่พอใจเวลาพระไป เพราะเขาเคยอยู่สบายๆ พอเวลาพระไป เขาต้องมาแสดงความเคารพ อย่างที่บ้านอนาถบิณฑเศรษฐีนี่ เวลาที่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เสด็จ แล้วก็เสด็จบ่อยด้วย เพราะว่าอนาถบิณฑเศรษฐีท่านมีศรัทธา ถึง(วันไหน)พระพุทธเจ้าไม่เสด็จมาเอง แต่ท่านเศรษฐีก็นิมนต์พระมารับบาตร

เวลาพระไป เทวดาที่อยู่ซุ้มประตูก็ต้องลงมา ไม่สามารถจะอยู่ข้างบนได้ เพราะพระเป็นผู้มีศีลต้องแสดงความเคารพ เทวดานี้ก็เลยคิดขัดเคืองว่า เรานี้ลำบากเหลือเกิน พระนี่ยุ่ง ทำอย่างไรจะให้ท่านไม่ต้องมาซะที ตอนนั้นอนาถบิณฑเศรษฐีชักยากจนลง เทวดาก็เลยได้โอกาส วันหนึ่งจึงไปปรากฏตัวแก่อนาถบิณฑเศรษฐี แล้วก็พรรณนาต่างๆว่า ท่านเศรษฐีเป็นผู้มีศรัทธา ทำความดีช่วยเหลือผู้คน แต่เวลานี้ได้จนลงเพราะว่าสละทรัพย์มากเหลือเกิน ฯลฯ เป็นเพราะมาถวายพระพุทธศาสนา ถวายพระสงฆ์ต่างๆ

เทวดาก็พูดจะให้แยก แล้วก็บอกว่า เนี่ย-ทรัพย์ที่ท่านสูญสิ้นไปเนี่ย ถ้าท่านตั้งตัวให้ดีท่านก็จะร่ำรวยอีก ข้าพเจ้าก็อยากจะช่วย แต่ทำอย่างไรจะให้ท่านเข้าสู่ทางที่จะไม่ผลาญเงินอีก แล้วข้าพเจ้ามีวิธีที่จะช่วยท่าน ข้าพเจ้ารู้ขุมทรัพย์ จะบอกขุมทรัพย์ให้ไปขุด

ทีนี้เศรษฐีนี้ก็เป็นผู้มั่นคงในพระรัตนตรัย ทำความดี ช่วยเหลือพระศาสนา ทำทานแก่คนยากจน ยากไร้ ก็ไม่เสียดาย (ท่านอนาถบิณฑเศรษฐีได้บรรลุเป็นพระโสดาบันบุคคลตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จากนั้นท่านจึงขอซื้อสวนของเจ้าองค์หนึ่งเพื่อถวายในพระพุทธศาสนา เรียกว่าพระวิหารเชตวัน-ผู้ถอดความ) พอท่านได้ยินเทวดาว่าอย่างนี้ ก็คิด เอ๊ะ! เทวดานี่ชวนผิดทางเสียแล้ว ฟังไปๆ ท่านก็เลยไม่เอาด้วย ท่านก็บอกว่า ไม่เห็นด้วยที่เทวดามาบอกเช่นนี้ เป็นการชวนออกนอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าในฐานะเจ้าบ้านไม่อยากจะให้ท่านอยู่บ้านนี้

อ้าว อันนี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมของเจ้าของบ้าน คติโบราณอันนี้คนไทยไม่ค่อยรู้หรอก เจ้าบ้านมีสิทธิ เทวดานี่ไม่สามารถอยู่ได้ถ้าเจ้าบ้านเขาไม่ให้อยู่ ฝ่ายเทวดานี่เลยเดือดร้อน โอ้ เศรษฐีไล่ไม่ให้เราอยู่ ทำอย่างไรก็เลยไปหาพระอินทร์ (พระอินทร์ เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ที่สุดในสวรรค์ชั้นที่สองคือชั้นดาวดึงส์ ท่านมีหลายพระนาม ในพระไตรปิฎกมักกล่าวถึงท่านในพระนามว่าท้าวสักกะ พระอินทร์หรือท้าวสักกะท่านได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคแล้วก็บรรลุโสดาบัน ท่านจึงมีศรัทธามั่นคงในพระศาสนา-ผู้ถอดความ)พระอินทร์ก็บอกว่า ข้าพเจ้าก็ช่วยไม่ได้ แต่ว่าจะแนะอุบายให้อย่างหนึ่ง ก็คือท่านก็ไปพูดกับเขา(ท่านเศรษฐี)สิ บอกว่าท่านเศรษฐีทำบุญทำกุศลช่วยเหลือผู้คน ทำสังคมสงเคราะห์มากมายนี่ดีเป็นประโยชน์มาก ข้าพเจ้าจะสนับสนุน จะบอกขุมทรัพย์ให้ท่าน จะได้มีเงินมาทำมากๆเทวดาก็เลยใช้วิธีใหม่(ที่ท้าวสักกะแนะนำ)มาปรากฏตัวกับเศรษฐีใหม่แล้วก็พูดอีกแบบหนึ่ง ท่านเศรษฐีก็เลยยอมให้อยู่

อันนี้เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่แสดงให้เห็นระหว่าง คนกับเทวดา ตามคติแต่โบราณ แล้วคตินี้ก็เข้ามาสู่พระพุทธศาสนา คตินี้ก็คือว่า เทวดานี้จะไม่ใหญ่กว่ามนุษย์ ใหญ่กว่าในแง่โดยทั่วไป แต่ว่ามีธรรมเป็นตัวตัดสิน ธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นก็เปลี่ยนจากเทพสูงสุดเป็นธรรมสูงสุด

ก็จะมีเรื่องในคัมภีร์หลายเรื่องที่ว่าเทวดากับมนุษย์ขัดกัน ทีนี้ท่านก็จะสอนคติไว้ให้เพื่อเป็นตัวอย่างว่า ถ้ามนุษย์ถูกต้อง เอาธรรมมาตัดสิน เทวดาอยู่ไม่ได้ แพ้ทุกที ก็มีเรื่องทำนองนี้ เมื่อชาวพุทธไม่ศึกษาคติของพุทธศาสนาเรื่องให้ถือธรรมเป็นใหญ่(ก็เลยไม่รู้ในคตินี้) มนุษย์จะมีเรื่องขัดแย้งกับเทวดาอย่างไร ต้องยุติที่ธรรมะ ถ้าเทวดาผิดธรรมะ เทวดาต้องไป ! มีเรื่องอยู่ในคัมภีร์ คือท่านพยายามสอนเพื่อให้ชาวพุทธเปลี่ยนเบนจากทิศทางของคนโบราณ ที่หวังพึ่งเทวดา อ้อนวอน ขอให้ท่านบันดาล ให้มายึดถือธรรมเป็นใหญ่-นี่นะมีมาเรื่อย

ที่นี้ต่อมา เทวดาจำนวนมากก็มานับถือพุทธศาสนา ก็ต้องถือธรรมเป็นใหญ่ด้วย ทีนี้เดิมก็บอกแล้วว่า เวลาเขาสร้างสถานที่สำคัญๆ อะไร เทวดาก็จะไปยึดครองที่อยู่ ทีนี้เวลาสร้างที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญๆ เทวดาก็จะมายึดครองเป็นที่สำหรับตัวจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ แล้วก็ทำหน้าที่คุ้มครองรักษาด้วย ! ก็เลยมีเทวดาคุ้มครองรักษาพระพุทธรูปสำคัญๆ ทั่วไปหมด

ที่ว่าพระพุทธรูปองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์ๆ บันดาลโน้นนี่ ก็คือเทวดาที่คุ้มครอง เป็นผู้ทำหน้าที่นี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เที่ยวมาบันดาลลาภ ยศ ให้ใครหรอก ! แล้วก็พระพุทธเจ้าท่านนิพพานแล้วด้วย (คือพระองค์ทรงพ้นจากสังสารวัฏฏ์สิ้นเชิง ไม่มีรูปธรรม นามธรรมใดๆที่จะเกิด-ดับอีกเลย เป็นการดับสนิท ไม่ใช่ว่าพอพระองค์นิพพานแล้วก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นสูงสุด หรือไปอยูในพรหมโลกซึ่งความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อของพุทธศาสนานิกายอื่นที่ไม่ใช่เถรวาท-ผู้ถอดความ)ก็เป็นเรื่องของเทวดาที่รักษา เทวดาที่รักษาพระแก้วฯ(พระแก้วมรกต)ก็อาจจะอยู่ที่ฉัตร อยู่ที่ฐานพระอะไรอย่างนี้นะ ก็เป็นหลักมาอย่างนี้

ทีนี้พระบรมธาตุนครศรีธรรมราชก็เลยมีประวัติซึ่งเข้าคติทางนี้ ก็เป็นเจดีย์ใหญ่อุทิศต่อพระพุทธเจ้า พวกเทวดาก็ต้องมาเฝ้า เทวดานี่ชื่อจตุคามรามเทพ มีประวัติไปกันใหญ่ว่าที่จริงท่านจตุคามรามเทพนี่เป็นกษัตริย์ศรีวิชัยเก่า ! ได้สวรรคตแล้วก็มาเป็นเทพ แล้วก็ได้มาเฝ้าพระบรมธาตุ ก็หวังจะทำความดีจะได้บำเพ็ญบารมีต่อไป จะได้เป็นพระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้ อะไรต่อมิอะไรก็ว่ากันไป

นี้ก็เป็นคติพระพุทธศาสนา ตกลงท่านก็เป็นเทพที่เข้าแนวนี้ แต่ว่าข้อสำคัญคือพระและญาติโยมนี้จะต้องจับให้ถูกจุด ก็คือต้องมาเน้นจุดที่ว่าท่านทำหน้าที่ของผู้มีศรัทธา เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี เป็นตัวอย่างของการที่มาปกปักรักษาพุทธศาสนา ชาวพุทธจะต้องปฏิบัติตัวอย่างนี้ๆ แบบเดียวกับท่าน ไม่ใช่มาหวังผลที่จะได้รับจากความศักดิ์สิทธิ์ ให้ท่านมาบันดาล ฯลฯ

หนึ่ง-ต้องโยงเข้าหาหลักการคติอย่างเดิมที่ท่านมาเป็นเทวดาคุ้มครองพิทักษ์รักษาพระบรมธาตุ, สองก็คือหลักการที่ว่า วิธีปฏิบัติตัวเพื่อให้ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ คือการทำตามที่ว่าประพฤติดี ตามอย่างท่าน ท่านมีแนวทางการประพฤติอะไร มีวัตรปฏิบัติอะไร ก็เอามาสอน ก็เหมือนพระพรหม ตอนพระพรหมเอราวัณก็ได้นำมาเล่าเหมือนกัน

พระพรหมเอราวัณก็แบบเดียวกัน ผู้สร้างเขาก็บอกแล้วพระพรหมองค์นี้ที่เป็นมหาพรหม จะมาประทับที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ทุกวันทุกค่ำ เว้นวันพระ เพราะวันพระไปเฝ้าพระพุทธเจ้า นี่เขาผูก(เรื่อง)ไว้ให้เสร็จเลย แล้วคนไทยและนักปกครองนี่ไม่เอาเรื่องเลย คตินี้มีทางที่จะทำให้พัฒนามนุษย์ได้ คือเราก็เอามาเตือน คือ เอา! แกจะไปขอก็ขอไป เราขัดขวางไม่ไหวล่ะ แต่ว่าทำอย่างไรจะพัฒนาเขาขึ้นมาบ้าง ก็คือเตือน พระพรหมนี้นะท่านไม่มานะวันพระ วันพระท่านไปวัดไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพวกเราก็เหมือนกัน อย่ามาขอในวันพระ ! ให้ไปวัดไปฟังธรรมกัน เอาอย่างพระพรหม (หัวเราะ)นี่ก็สอนไปสิ

ให้มันได้แง่ที่เป็นประโยชน์ คือ เป็นจุดเชื่อมที่จะพัฒนา เพราะเราไม่สามารถจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าได้ เขานับถืออย่างนี้อยู่ก็เอาเป็นจุดบรรจบ แล้วก็จุดบรรจบนี้ดึงให้เดินก้าวหน้าต่อไป แต่เขาไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย

อย่างตอนนั้นนายกรัฐมนตรี พอศาล(พระพรหม)ถูกทุบทำลายก็กลัวว่าตัวเองจะเกิดอะไรขึ้น จะเป็นลางร้ายแก่ตัวเอง ก็ไปทำแก้เคล็ด แทนที่จะมองไปถึงบ้านเมือง ประโยชน์ของประชาชน ไปมองอยู่แค่ตัวเอง ที่จริงมันต้องมองถึงประเทศชาติ ถือโอกาส หนึ่งให้ความรู้แก่ประชาชนว่า คุณรู้หรือยังว่าศาลท้าวพระพรหมนี้มายังไง สร้างขึ้นยังไง พระพรหมองค์นี้ไม่ใช่พรหมของศาสนาพราหมณ์ เป็นพรหมในพุทธศาสนา เป็นมหาพรหม มหาพรหมนี้เป็นชั้นหนึ่งในพรหมสิบหกชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้นแบ่งเป็นระดับ ฌาน ๔ ระดับ ระดับปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีพรหมอยู่..เขาเรียกว่า พรัหมปาริฉัตต์, พรัหมปุโรหิตา,มหาพรัหมมา ซึ่งมหาพรัหมมาเป็นพรหมระดับที่สามในชั้นปฐมฌานของพรหม ๑๖ ชั้น ท่านก็กำลังบำเพ็ญความดีอยู่ ท่านถึงต้องไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปเฝ้าคือไปฟังธรรม

เนี้ยเรื่องอย่างนี้มันมีทางที่จะเอามาประสานแล้วก็พัฒนามนุษย์ ไม่ใช่ หนึ่ง-พระก็หาลาภ ถือโอกาสว่า “ขายดี” จะได้เงินปลุกเสกกัน สอง-ก็ทำให้คนลุ่มหลงผิดหลักผิดทาง เอามาปลุกเสกในวัด อะไรต่ออะไร แล้วคนก็เข้าใจผิดเฉออกจากพุทธศาสนาไป แทนที่จะเชื่อมโยงว่าที่จริงเป็นอย่างนี้ๆ สัมพันธ์กันอย่างนี้

ตกลงพูดให้ดีก็ว่า จตุคามรามเทพก็ไม่ใช่ใครหรอก เป็นกษัตริย์ศรีวิชัย ก็สวรรคตมาเป็นเทวดาเฝ้าพระบรมธาตุอยู่นี่แหละ กำลังบำเพ็ญบารมี -

ผู้กราบเรียนถาม : อาจจะใช่ก็ได้ ??

พระพรหมคุณาภรณ์ : อ้าว, ก็ไม่รู้หล่ะ ตามเรื่องก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็โยงเรื่องไปศรีวิชัยก็เอาละสิ, ศรีวิชัยนี่อยู่สุมาตรา-ว่าเข้านั้น พวกมลายูนี่แหละ (หัวเราะ)พวกมลายง มลายู ลูกน้องกษัตริย์องค์นี้หมดเลย (หัวเราะ)บอกว่าชาวใต้ ๓-๔ จังหวัดนี่ลูกน้องของจตุคามรามเทพ (หัวเราะ)ใช่ไหม ? เพราะเป็นมลายู, มลายูก็คือกษัตริย์ศรีวิชัย

ผู้กราบเรียนถาม : สมัยก่อนดินแดนทางใต้เขาก็เชื่อมโยงกัน

พระพรหมคุณาภรณ์ : ที่เล่าน่ะ เจ้าชายนั้นน่ะ ปรเมศวรนั้นน่ะก็มาจากสุมาตรา เป็นมลายู มาจากสุมาตรามาขึ้นสิงคโปร์ถูกไล่จากสิงคโปร์มาขึ้นมะละกา มาตั้งอาณาจักรมะละกา แล้วก็ศูนย์กลางความเป็นมลายูอยู่ที่มะละกา-ก็คือพวกศรีวิชัย (ความเป็นมาของเจ้าชายปรเมศวร ที่เดิมนับถือพุทธศาสนามหายาน-ฮินดู ต่อมาถูกศัตรูทางการเมืองขับไล่ ไล่ล่าหนีตายมาสิงคโปร์แล้วถอยร่นขึ้นไปมะละกา เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามกลายเป็นสุลต่านอิสกันดาร์ซาห์ โปรดอ่านได้จากหนังสือจากริกบุญ จารึกธรรม ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือเข้าไปอ่านได้ที่ http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_6007.html-ผู้ถอดความ)

ก็ย้ำเอาความรู้พวกนี้ย้ำเข้าไปเพราะชอบแยกตัวนักว่า ฉันเป็นมลายูไม่พวกคนไทย ไม่ใช่ชาวพุทธใช่ไหม ??ของเรามันแน่ มันจริงกว่านี่เป็นประวัติศาสตร์ที่ค้านไม่ได้ แล้วทำไมประเทศชาติบ้านเมือง วิทยุก็มี ทีวีก็มี ถึงไม่ให้ความรู้ประชาชน เอาเข้าไปสิ บอกไปสิว่ามลายูเป็นอย่างไร ศรีวิชัยเป็นอย่างไร เล่าไปสิ !!!ใครจะมีค้านได้หล่ะ ???ข้อมูล ต้องใช้ประโยชน์จากความรู้ ตกลงกันนี่ ถ้ารู้เรื่องจตุคามรามเทพ ก็อาจมีทางทำให้มันได้ประโยชน์


ผู้กราบเรียนถาม : กำลังฮิตกันมาก

พระพรหมคุณาภรณ์ : นั่นสิฮิตกันมาก ก็รีบเผยแพร่ความรู้นี้เข้า (ความรู้เรื่องเกี่ยวกับเจ้าชายศรีวิชัยซึ่งคือเจ้าปรเมศวรที่ต่อมาได้นับถือศาสนาอิสลามเป็นสุลต่านอิสกันดาร์ซาห์ แล้วเจ้าชายผู้เป็นมุสลิมนี่ละหรือจะมารักษาพระพุทธศาสนา ??? หรือแท้จริงนิทานเรื่องเล่านี้มุ่งหวังประโยชน์เรื่องการเรียกร้องดินแดนในสามจังหวัดภาคใต้ แล้วคนไทยชาวพุทธจะมาเป็นเครื่องมือให้แก่กลุ่มบุคคลที่ใช้จตุคามรามเทพมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองกระนั้นหรือ ??? -ผู้ถอดความ)

ผู้กราบเรียนถาม : มติชนสุดสัปดาห์เมื่อเช้า บอกว่า(การขายจตุคาม)ทำรายได้สองหมื่นสองพันล้าน เขาบอกว่าอะไรนะ ยุคทักษิโณมิกส์ (หัวเราะ)

พระพรหมคุณาภรณ์ : เปิดวิทยุ อ้าว วัดนั้นก็จะทำพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพ ทำพิธี -

ผู้กราบเรียนถาม : เพี้ยนเหมือนกัน มีคุณยายคนหนึ่งไปรอกันตั้งแต่ตีหนึ่ง -

พระพรหมคุณาภรณ์ : วัดใหญ่เสียด้วยนะ

ผู้กราบเรียนถาม(หลายคน) : เหยียบกันตายที่นั่น นครศรีธรรมราช - ไม่ใช่เหยียบกันตาย เขารอจนโทรมตาย – ไม่ เห็นเขาบอกโดนเหยียบ – เบียดกันตาย – แต่ว่าเขาไปรอกันนะ เบียดกันจนตาย – เห็นว่าอายุ ๕๐ กว่าเอง – รอเสร็จหัวใจวายตาย คนนั้นยาย คนนี้อายุ ๕๑ ฯลฯ

แล้วเวลาสังคมมีกระแสอย่างนี้ เกี่ยวกับเงินทอง แล้วเราจะหยุดกระแสนี้อย่างไร

พระพรหมคุณาภรณ์ : อ้าวก็นี่ละ คือเรารู้อยู่ ก็ต้องรู้ทันว่าของผมนี่กำลังต้องการเงินทองมาก เป็นเรื่องสังคมธุรกิจและเป็นสังคมบริโภคนิยม เห็นแก่การเสพบริโภค หาผลประโยชน์ หาเงิน หาทอง ระบาดเข้ามากระทั่งวัด ! ทีนี้กระแสใหญ่เป็นอย่างนี้ เราก็จะทำอย่างไรจะโยงกระแสใหญ่มาหาหลักก็คือ นี่ เรื่องราวนี้

สมัยก่อนก็เหมือนกัน สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็อยู่ในสภาพสังคมคล้ายอย่างนี้ สังคมสมัยนั้นกำลังเฟื่องธุรกิจ เรามองไปประวัติศาสตร์ก็คล้ายๆอย่างนี้ สังคมสมัยพุทธกาลกำลังเจริญรุ่งเรือง การค้าขายระหว่างแคว้นต่างๆ มีคาราวานกองเกวียนไปกันเยอะ แล้วก็เศรษฐีกำลังเป็นชนชั้นนำขึ้นมา เดิมมีวรรณะ ๔ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ตอนแรกพราหมณ์นี่เป็นใหญ่ที่สุด แต่ทางพุทธศาสนาบอกว่าแต่แรกนั้นกษัตริย์เป็นใหญ่ก่อน ยุคพระอินทร์คือพวกอารยันเข้ามาจากทางอิหร่านมาบุกอินเดีย ระยะนี้พวกนักรบเป็นใหญ่ ตอนนั้นพระอินทร์เป็นใหญ่ตอนที่ยกทัพมา ยุคพระอินทร์ก็ยุคกษัตริย์ พระอินทร์นี่ยิ่งใหญ่มากเป็นเทพสำคัญ ทีนี้พออารยันเข้ามาอินเดีย ยึดครองพวกชมพูทวีปได้ อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ ฯลฯ ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของอารยัน พวกมิลักขะเจ้าถิ่นกลายเป็นชนวรรณะศูทร ถูกเขาเหยียดลงไปเป็นทาสเกิดเป็นวรรณ ๔ (โปรดอ่านเรื่องที่มาของระบบวรรณะที่http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/03/blog-post.html-ผู้ถอดความ)

ทีนี้ก็มี กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร พอตั้งหลักแหล่งแล้วทีนี้ปัญญาชนเริ่มเป็นใหญ่ พวกนักรบพระอินทร์ที่เดิมมานี้ ชักจะอับแสง แต่ก่อนนั้นพระอินทร์ใหญ่ต่อมาอับแสงลง พระพรหมขึ้น ที่ขึ้นไม่ใช่ตอนพวกอารยันเดินทัพ(มาอินเดีย)เพราะตอนนั้นพระพรหมไม่มี พอเข้ามาตั้งหลักแหล่งพระพรหมขึ้น แล้วพวกพราหมณ์ก็ใหญ่ พราหมณ์ก็เป็นนักวิชาการด้วย เป็นปัญญาชน เป็นผู้ประกอบพิธีตอนนี้ใครๆ ต้องมาอาศัยพระพรหม ให้พราหมณ์เป็นผู้บอกว่าจะเอายังไง ผลประโยชน์อย่างไร ต้องทำพิธีบูชายัญ กษัตริย์ก็เลยตกอันดับ พราหมณ์ขึ้นเป็นหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร

ตอนนี้พระอินทร์ก็มีเรื่องเสียหายอย่างโน้นอย่างนี้ เยอะแยะหมด กลายเป็นเทพที่ไม่ค่อยมีความหมาย เนี่ยพระพรหมขึ้น แล้วพระพรหมมาตกตอน พ.ศ.๕๐๐-๖๐๐ พระศิวะ พระนารายณ์ขึ้น,พระพรหมตก ตอนนั้นพระพรหมเป็นใหญ่ตอนพุทธกาล

เอาล่ะ ก็มี กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร พอถึงพุทธกาลจะเห็นว่าชนชั้นหนึ่งกำลังขึ้นคือพวกเศรษฐี คหบดีมีอิทธิพลมาก พวกนี้ก็พวกพ่อค้าวาณิช ทั้งๆ ทีเดิมน่าจะอยู่ในชนชั้นแพศย์ ไวศยะ ด้วยซ้ำ แต่กำลังมีอิทธิพลมาก กลายเป็นตำแหน่งแล้วเศรษฐี ต้องราชาตั้งเชียวนะ ประจำเมืองเลย มีหน้าที่ไปเฝ้าพระราชาวันละสองครั้ง แล้วทีนี้เมืองไหนรัฐไหนไม่มีเศรษฐีที่มีทรัพย์มาก ก็เป็นรัฐที่ไม่รุ่งเรือง ก็จะต้องหาทางมีเศรษฐี ในพุทธกาลก็มีรัฐบางรัฐต้องขอเศรษฐีจากอีกรัฐหนึ่ง นางวิสาขาก็ต้องไปเพราะเรื่องนี้เพราะว่าพ่อเป็นธนัญชัยเศรษฐี แล้วก็รัฐนั้นเขาต้องการมีเศรษฐีบ้าง เขาก็เลยขอจากอีกแคว้นหนึ่ง แล้วธนัญชัยเศรษฐีก็เลยเดินทางไป นางวิสาขาเป็นลูกก็เลยต้องไปด้วย เขาต้องแข่งกันว่ารัฐมีเศรษฐีกี่คน เศรษฐีใหญ่ เศรษฐีร่ำรวย เศรษฐีมีอิทธิพลมากก็เพราะการค้าขาย เรียกได้ว่ากำลังเฟื่องในทางเศรษฐกิจ การค้าขายและหว่างรัฐ ระหว่างแคว้นก็ถึงกันทั่ว มีสิ่งอุปโภค บริโภคต่างๆ มากมาย

ทีนี้ในท่ามกลางสภาพแบบนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องใช้สภาพกระแสความนิยมของเขา มาเป็นจุดเริ่มในการที่จะสอนให้เขามาใฝ่ธรรมะ อย่างเช่นเศรษฐี จะทำอย่างไรให้ หนึ่ง ไม่ใช่อิทธิพลไปข่มเหงคนอื่นและไม่ใช้ในทางทุจริต แล้วก็เอาทรัพย์มาทำประโยชน์ อนาถบิณฑเศรษฐีพอมานับถือพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจะสูญเสียในการทำประโยชน์เท่าไร ท่านไม่คำนึง ก็ตั้งที่บริจาคทาน โรงทาน จนมีชื่อว่า อนาถบิณฑิก เดิมท่านชื่อสุทัตตะ แต่เพราะท่านได้ทำประโยชน์ ช่วยเหลือคนยากจนมาก ก็เลยได้ชื่อว่า อนาถบิณฑิก แปลว่าผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา นี่คือสมญาของท่าน..

นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ถ้าเราดูลึกลงไป ไม่ได้มีแค่เพียงคำสอน คำสอนนั้นเนื่องอยู่กับสภาพสังคมความเป็นจริงว่า พระพุทธเจ้าต้องไปยุ่งไปเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นว่าทำยังไงเขาจะอยู่กันดี สังคมจะดี ชีวิตเขาจะดี อันนี้ก็เหมือนกัน นี่ก็สังคมเวลานี้เป็นอย่างนี้ก็ต้องรู้เข้าใจ ทำยังไงจะให้ธรรมะไปเกิดประโยชน์กับคนเหล่านั้นได้

ผู้กราบเรียนถาม : เรื่องจตุคามนี้ มีคนที่เขาใส่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาใส่มานานแล้ว ถ่ายรูปออกมาแล้วปรากฏว่าหน้าเขาหายไปเลย เป็นรูปเหรียญ ก็สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร น้องเขาเล่ามา เป็นที่ทำงานของน้องสาวเลย ก็เลยสงสัยว่าถ้าเป็นการปลุกกระแส พยายามสร้างอภินิหาร แต่ทำไมต้องเกิดกับคนนั้นที่ห้อยเหรียญอยู่ แล้วไม่มีใครในที่ทำงานรู้เลยว่าเขาห้อยเหรียญจตุคามมานานแล้ว

พระพรหมคุณาภรณ์ : อ้าว เขาก็อาจจะสร้างเรื่องทั้งหมดก็ได้นี่นะ (หัวเราะ)คืออย่างนี้มันได้สองอย่าง หนึ่งเขาเตรียมกันอย่างนั้น สองก็คือว่ากระแสมนุษย์ความเชื่อมันทำให้เกิดผลได้ พอเชื่อก็ปลุกใจให้ขึ้นมา เกิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามกระแสนี้ ถ้าเราจับเรื่องได้มีความรู้ก็โยงเข้าหาพระบรมธาตุ พวกคุณนี่ลูกศิษย์จตุคาม แล้วจตุคามเป็นลูกศิษย์พระบรมธาตุ คุณต้องไปแล้ว คุณต้องไปไหว้พระบรมธาตุ มันก็ตรงเลย ก็ในเมื่อคุณนับถือจตุคาม แล้วจตุคามก็เฝ้าพระบรมธาตุอยู่ ถ้าคุณอยากจะถึงจตุคามจริง คุณก็ต้องไปพระบรมธาตุ หนีไม่พ้นเลยใช่ไหม

ตกลงว่าถ้าพูดให้ถูกต้อง ก็มาเข้าทางเลย ตอนนี้วัดพระบรมธาตุรับไม่ไหว (หัวเราะ) โยงให้ได้สิ โยงให้ถึง ก็ที่เล่าเมื่อกี้ ประวัติของท่าน ประวัติที่แท้ก็คือจตุคามรามเทพนี่เป็นกษัตริย์ศรีวิชัยที่สวรรคตแล้วไปเฝ้าอยู่ที่พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช แล้วคนที่เขานับถือก็รู้เรื่องเดิมนี้อยู่ ก็คือท่านที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเนี่ย ท่านเป็นผู้นับถือจตุคาม ท่านรู้ว่าจตุคามรามเทพนี่เป็นเทพที่เฝ้าพระบรมธาตุ คือคนเดิมนะรู้ แต่ตอนมาเชื่อกันทีหลังนี้มันขาดตอน

ผู้กราบเรียนถาม : เลยเป็นการสร้างกระแส

พระพรหมคุณาภรณ์ : มันไปอยู่ที่เงินอย่างเดียว (หัวเราะ) เราก็ดึงกลับไปซะให้เข้าหลักเข้าเกณฑ์บ้าง คุณนับถือตั้งนานยังไม่รู้เรื่องอีก จตุคามรามเทพมาจากไหนลองตอบสิ (หัวเราะ)

ผู้กราบเรียนถาม : มีประเด็นว่าพอเราไปขัดผลประโยชน์เขา กลุ่มที่เสียประโยชน์เขาก็พยายามสร้างกระแส ก็เลยบลั๊ฟกันไปมา

พระพรหมคุณาภรณ์ :ก็ไม่เป็นไร เรื่องนี้มันชัดเจนเพราะมันมีมาเก่ากว่า เขาจะหนีไปไหนไม่พ้นถ้าใช้คำว่าจตุคามรามเทพ หนีไม่พ้น นอกจากเขาจะเปลี่ยนใหม่ ต้องหาองค์ ปัญจคามรามเทพ (หัวเราะ)

No comments: