บทที่๒๙ อเมริกันพ่ายแพ้บนภูผาที
นักบินนำชอปเปอร์เข้าใกล้ที่มั่นบนยอดภูผาทีประมาณ ๑ ชั่วโมงหลังอาทิตย์ขึ้น มันเป็นชอปเปอร์ของแอร์อเมริกาไม่ใช่ของกองทัพ ซึ่งนำเครื่องขึ้นพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ๒ คนและเจ้าหน้าที่เทคนิคอีก ๕ คน โดยมีเอ็ทช์เบอร์เกอร์เป็นคนสุดท้ายที่ปีนขึ้นชอปเปอร์ ขณะที่นักบินกำลังนำเครื่องขึ้นจากลานจอด ทหารเวียดนามเหนือคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเครื่องปั่นไฟและสาดกระสุนปืนประจำกายขึ้นใส่บริเวณใต้ท้องชอปเปอร์ กระสุนนัดหนึ่งเจาะทะลุพื้นห้องโดยสารถูกเอ็ทช์เบอร์เกอร์จนแน่นิ่งไป
นักบินนำเครื่องไปลงที่นัคฮัง จากนั้นพวกเขาถูกนำขึ้นเครื่องบินลำเลียงขนาดเบาแบบคาริบู บินต่อไปยังอุดรฯ เมื่อเครื่องลงจอดร้อยโทเครย์ตัน ที่กำลังรอพวกเขาอยู่ที่นั่น รีบกระโจนขึ้นบนเครื่อง ในตอนแรกเขาจำเอ็ทช์เบอร์เกอร์ที่นอนเบิกตาโพรงอยู่บนพื้นห้องโดยสารไม่ได้ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น บนเนื้อตัวไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ ต่อมาภายหลัง จากการชันสูตรศพจึงพบว่าลูกกระสุนได้เจาะเข้าร่างกายเขาจากเบื้องล่างและเข้าสิ้นชีวิตจากการตกเลือดภายใน ในมือขวาของเขากำสลักลวดคู่หนึ่งไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ก่อนขึ้นเครื่องเอ็ทช์เบอร์เกอร์ได้กลับไปยังสถานีเรดาห์และดึงสลักลวดวงจรเริ่มการทำงานของระเบิดภายในอาคารเรดาห์
นอกเหนือจากพื้นที่บริเวณยอดเขา ทหารม้งยังคงควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่รอบภูผาที หน่วยทหารรบพิเศษของไทยนั้นแทบไม่ได้ปะทะกับทหารข้าศึกเลย อย่างไรก็ตามได้มีคำสั่งให้ถอนกำลังทุกส่วนออกมาจากบริเวณภูผาที โดยไม่มีการตอบโต้ข้าศึกแต่อย่างใด
เซ็กคอร์ดได้เล่าถึงเหตุการณ์ในภายหลังว่า “อากาศในตอนนั้นดีขึ้นมาก ฝ่ายเรามีทหารจำนวนมากอยู่บนนั้น ทุกคนต่างลาดตระเวนไปรอบฐานมองหาข้าศึกเพื่อสังหารให้สิ้นซาก แต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว ตอนรุ่งเช้าของวันนั้น เครื่องบิน เอ-1 เครื่องหนึ่งถูกยิงตกและนักบินเสียชีวิต เรามีเวลาเพียงช่วงสั้นๆ ในการเข้าไปในพื้นที่แล้วก็รีบถอนตัวออกมาอย่างเร่งด่วน”
“เราไม่เคยทำได้ตามแผนที่วางไว้ เราได้มีการล่าถอยอย่างเป็นระบบ ได้ติดตั้งระเบิดทำลายอุปกรณ์เรดาห์เอาไว้แล้ว แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่ได้ระเบิดมันทิ้ง ทุกอย่างเละตุ้มเปะไม่เป็นท่า”
“มันเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนความมั่นใจของพวกเราทุกคนอย่างยิ่ง”
นักบินนำชอปเปอร์เข้าใกล้ที่มั่นบนยอดภูผาทีประมาณ ๑ ชั่วโมงหลังอาทิตย์ขึ้น มันเป็นชอปเปอร์ของแอร์อเมริกาไม่ใช่ของกองทัพ ซึ่งนำเครื่องขึ้นพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ๒ คนและเจ้าหน้าที่เทคนิคอีก ๕ คน โดยมีเอ็ทช์เบอร์เกอร์เป็นคนสุดท้ายที่ปีนขึ้นชอปเปอร์ ขณะที่นักบินกำลังนำเครื่องขึ้นจากลานจอด ทหารเวียดนามเหนือคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเครื่องปั่นไฟและสาดกระสุนปืนประจำกายขึ้นใส่บริเวณใต้ท้องชอปเปอร์ กระสุนนัดหนึ่งเจาะทะลุพื้นห้องโดยสารถูกเอ็ทช์เบอร์เกอร์จนแน่นิ่งไป
นักบินนำเครื่องไปลงที่นัคฮัง จากนั้นพวกเขาถูกนำขึ้นเครื่องบินลำเลียงขนาดเบาแบบคาริบู บินต่อไปยังอุดรฯ เมื่อเครื่องลงจอดร้อยโทเครย์ตัน ที่กำลังรอพวกเขาอยู่ที่นั่น รีบกระโจนขึ้นบนเครื่อง ในตอนแรกเขาจำเอ็ทช์เบอร์เกอร์ที่นอนเบิกตาโพรงอยู่บนพื้นห้องโดยสารไม่ได้ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น บนเนื้อตัวไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ ต่อมาภายหลัง จากการชันสูตรศพจึงพบว่าลูกกระสุนได้เจาะเข้าร่างกายเขาจากเบื้องล่างและเข้าสิ้นชีวิตจากการตกเลือดภายใน ในมือขวาของเขากำสลักลวดคู่หนึ่งไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ก่อนขึ้นเครื่องเอ็ทช์เบอร์เกอร์ได้กลับไปยังสถานีเรดาห์และดึงสลักลวดวงจรเริ่มการทำงานของระเบิดภายในอาคารเรดาห์
นอกเหนือจากพื้นที่บริเวณยอดเขา ทหารม้งยังคงควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่รอบภูผาที หน่วยทหารรบพิเศษของไทยนั้นแทบไม่ได้ปะทะกับทหารข้าศึกเลย อย่างไรก็ตามได้มีคำสั่งให้ถอนกำลังทุกส่วนออกมาจากบริเวณภูผาที โดยไม่มีการตอบโต้ข้าศึกแต่อย่างใด
เซ็กคอร์ดได้เล่าถึงเหตุการณ์ในภายหลังว่า “อากาศในตอนนั้นดีขึ้นมาก ฝ่ายเรามีทหารจำนวนมากอยู่บนนั้น ทุกคนต่างลาดตระเวนไปรอบฐานมองหาข้าศึกเพื่อสังหารให้สิ้นซาก แต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว ตอนรุ่งเช้าของวันนั้น เครื่องบิน เอ-1 เครื่องหนึ่งถูกยิงตกและนักบินเสียชีวิต เรามีเวลาเพียงช่วงสั้นๆ ในการเข้าไปในพื้นที่แล้วก็รีบถอนตัวออกมาอย่างเร่งด่วน”
“เราไม่เคยทำได้ตามแผนที่วางไว้ เราได้มีการล่าถอยอย่างเป็นระบบ ได้ติดตั้งระเบิดทำลายอุปกรณ์เรดาห์เอาไว้แล้ว แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่ได้ระเบิดมันทิ้ง ทุกอย่างเละตุ้มเปะไม่เป็นท่า”
“มันเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนความมั่นใจของพวกเราทุกคนอย่างยิ่ง”