Thursday, March 13, 2008

บทความที่๓๕๙.พบถิ่นอินเดีย-กำลังและความอ่อนแอของอินเดีย

บันทึกของเนห์รู
(เรียบเรียงจาก The Discovery of India ของยวาหระลาล เนห์รู , กรุณา กุศลาสัย แปล)
บันทึกในที่คุมขังป้อมอะหะหมัดนคร
๙. กำลังและความอ่อนแอของอินเดีย

การค้นหาบ่อเกิดแห่งกำลังของอินเดีย ตลอดจนสาเหตุแห่งความเสื่อมถอยและเสื่อมโทรมของประเทศนี้ สาเหตุแห่งความเสื่อมโทรมอันเกิดขึ้นในระยะหลังๆเป็นที่ประจักษ์แจ่มแจ้งว่า อินเดียต้องตกล้าหลังเพราะขาดความรู้ทางเทคนิค ส่วนยุโรปที่เคยล้าหลังมาเป็นเวลาช้านานในหลายด้านบัดนี้ได้รุดหน้าไปก็ด้วยความรู้ทางด้านเทคนิคนี้เอง เบื้องหลังแห่งการก้าวหน้าทางด้านเทคนิคก็คือวิญญาณแห่งวิทยาศาสตร์และชีวิตที่เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทั้งสองประการนี้ได้แสดงออกมาให้เห็นในการงานหลายด้าน แม้กระทั่งการออกเผชิญภัยไปเพื่อการค้นพบความรู้ใหม่ๆ

ความรู้ทางด้านเทคนิคได้ช่วยสร้างกำลังทางทหารให้แก่กลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตก และเปิดโอกาสให้ขยายตัวออกมาครอบครองประเทศทางตะวันออก ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มิใช่แต่ของอินเดียเท่านั้น หากเป็นของเอเชียเกือบจะทั่วทวีปทีเดียว

ความเชื่ออย่างงมงายได้เข้าครอบงำอินเดีย เช่นความเชื่อที่ห้ามมิให้คนเดินข้ามน้ำข้ามทะเลไปประเทศอื่น จิตใจแห่งการไต่ถามค้นหาความจริงตามหลักแห่งเหตุผล ซึ่งมีให้เห็นอยู่ในยุคแรกๆ และน่าจะนำไปสู่การเติบโตขึ้นทางวิทยาศาสตร์ ได้ถูกความไม่มีเหตุผลและความเคารพบูชาอดีตอย่างมืดบอดเข้ามาครอบครองแทนที่ กระแสชีวิตของอินเดียได้กลายเป็นธารน้ำที่ไหลริน ไม่สะดวก หมกหมุ่นอยู่แต่อดีต และมีการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เนื่องจากสะสมผ่านกาลเวลานับด้วยร้อยๆ ปีที่ล่วงพ้นไป ภาระอันหนักอึ้งแห่งอดีตได้บดขยี้กระแสชีวิต(แห่งการค้นหาความจริง)และความไร้สติชนิดหนึ่งได้เข้าครอบงำอินเดียไว้

ก็ในท่ามกลางความมึนชาทางสมองและความอ่อนเปลี้ยทางร่างกายเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกประหลาดอะไรเลยที่อินเดียจะต้องถึงซึ่งความเสื่อมโทรม มีสภาพความเป็นอยู่โดยไม่มีการเคลื่อนไหว ในขณะที่ส่วนอื่นของโลกได้ก้าวรุดไปข้างหน้า

ขุมกำลังที่จะชุบกระแสสายธารของอินเดียมีจริงหรือ? ถ้ามีจริง มันเหือดแห้งไปแล้วหรืออย่างไร? ยังมีสายธารไหลรินเพื่อที่จะช่วยให้เราชุ่มชื่นและแข็งแรงได้หรือไฉน? เราเป็นชาติที่เก่าแก่ชาติหนึ่ง เป็นที่รวมอันพิลึกพิลั่นของนานาชาติ นานาเผ่าพันธุ์ ความทรงจำแห่งชาติของเราย้อยหลังกลับไปถึงรุ่งอรุณแห่งประวัติศาสตร์ วันคืนแห่งความรุ่งโรจน์ของเราได้สิ้นสุดลงเสียแล้วหรือ? เรากำลังอยู่ในสนธยาแห่งชีวิต มีสภาพความเป็นอยู่ซังกะตาย หมดจิตใจสร้างสรรค์ ปรารถนาที่สุดอยู่อย่างเดียว คือความสงบเงียบและการพักผ่อนนอนหลับกระนั้นหรือ?

ไม่มีประชาชนและไม่มีชาติใดที่จะมีความเป็นอยู่ได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ประชาชนและประเทศชาติทั้งหลายย่อมต้องพบปะสังสรรค์กับประชาชนอื่น และประเทศอื่นอยู่เสมอ ทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างมากหลายที่แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมซึ่งได้รับการสถาปนาอย่างมั่นคงแล้ว ต้องสลายตัวไป หรือต้องพบจุดจบอย่างกระทันหัน แล้วมีวัฒนธรรมใหม่ที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาแทนที่ สิ่งนี้เป็นพลังชนิดหนึ่งที่สำคัญ เป็นขุมกำลังที่ให้ชีวิตแก่อารยธรรมหรือชุมชน ซึ่งถ้าปราศจากพลังชนิดนี้เสียแล้ว ความพยายามทั้งหลายก็จะไร้ผล

ในบรรดาชนชาติต่างๆ ในโลกปัจจุบัน ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าพลังสำคัญดังกล่าวมานี้ มีอยู่ให้เห็นเป็นส่วนใหญ่ในสามชนชาติด้วยกันคือ อเมริกา รัสเซีย และจีน ซึ่งเป็นการคล้ายกันอย่างประหลาด อเมริกานั้น ทั้งที่ๆมีรกรากอยู่กับโลกเก่า ก็ต้องนับว่าเป็นชาติใหม่ มีจิตใจเป็นอิสระเสรีและปราศจากซึ่งภาระและปมอันเป็นสมบัติของชาติเก่าๆ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะเข้าใจถึงพลังวังชาอันไม่มีขอบเขตของอเมริกา

ชาวรุสเซียมิใช่เป็นชนชาติใหม่ แต่แม้กระนั้นก็ได้มีการตัดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาดกับอดีต เสมือนหนึ่งว่าได้ตายจากกันไปแล้ว และได้มามีชีวิตเกิดใหม่ในลักษณะที่ไม่มีตัวอย่างอันใดจะเปรียบได้เลยในประวัติศาสตร์ ชาวรุสเซียได้กลายเป็นชาติที่หนุ่มแน่นขึ้นอีกวาระหนึ่ง เต็มไปด้วยพลังวังชาและความสามารถอย่างน่าอัศจรรย์ ชาวรุสเซียกำลังค้นหารกรากเก่าๆ บางประการของตนอีกครั้งหนึ่ง ตัวอย่างของรุสเซียแสดงให้เห็นว่า ประชาชนชาติใดชาติหนึ่งสามารถชุบตัวของเขาให้มีความหนุ่มแน่นขึ้นได้อย่างไร ถ้าหากเขาพร้อมจะยอมเสียสละเพื่อการกระทำเช่นนั้น และพร้อมที่จะเอาธารแห่งพลังอันซ่อนเร้นอยู่ในประชาชนออกมาใช้

ส่วนชนชาติจีน นับว่ามีลักษณะที่แตกต่างออกไป ชาวจีนไม่ใช่ชนชาติใหม่ และไม่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอกสั่นขวัญแขวน จากศีรษะจรดเท้า เหมือนชาวรุสเซีย แน่นอนทีเดียวที่เจ็ดปีแห่งสงครามอันทารุณได้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประชาชนจีนอย่างไม่ต้องสงสัย การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากสงครามหรือจากสาเหตุอื่นที่ล้ำลึกเพียงใด แค่ไหน หรือเกิดขึ้นจากการรวมกันของทั้งสองสิ่งนี้ ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่พลังวังชาของชนชาติจีนได้สร้างความอัศจรรย์ให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อาจจะอนุมานได้ว่า ประชาชนที่มีพลังวังชาอันแข็งแกร่งเช่นหินดานใต้ดินอย่างประชาชนจีน จะมีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็น “เบี้ยล่าง” ของใครอื่นได้

เบื้องหลังของเวลายี่สิบห้าปีแห่งการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย และเบื้องหลังของการขับเคี่ยวต่อสู้กับอำนาจของอังกฤษ ข้าพเจ้ามีความมุ่งมาดปรารถนา เช่นเดียวกับชาวอินเดียอื่นๆ ที่จะชุบอินเดียให้กลับมีพลังวังชาขึ้นอีก เรามีความรู้สึกกันว่า ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของเรา ด้วยการยอมรับความทุกข์ยากโดยใจสมัคร ด้วยการเสียสละ ด้วยการกล้าที่จะเผชิญต่อการเสี่ยงอันตรายโดยไม่มีใครบังคับ และด้วยการไม่ยอมจำนนต่อสิ่งที่เราถือว่าผิดและชั่วร้าย เราจะสามารถประจุกำลังให้เกิดขึ้นใหม่ได้ในหม้อไฟแห่งวิญญาณของอินเดีย และเราจะสามารถปลุกอินเดียให้ตื่นจากการนอนอย่างสลบไสลมาเป็นเวลาช้านานได้

การสร้างสรรค์พลังภายในอันแท้จริงของประชาชนนั่นเองเป็นสิ่งที่เราปรารถนา โดยที่เราตระหนักดีว่า เมื่อเกิดพลังภายในอันแท้จริงเช่นนี้แล้ว สิ่งอื่นก็จะติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจำเป็นจะต้องกวาดล้างหลายชั่วอายุคนแห่งการยอมเป็นผู้รับใช้อย่างน่าละอายและแห่งการยอมจำนนอย่างคนขลาดต่ออำนาจต่างด้าวอันโอหัง

1 comment:

Anonymous said...

Hello. This post is likeable, and your blog is very interesting, congratulations :-). I will add in my blogroll =). If possible gives a last there on my blog, it is about the Celular, I hope you enjoy. The address is http://telefone-celular-brasil.blogspot.com. A hug.