ภารกิจเสรีไทย
จากบันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันทน์(ชัยสงค์)
จากบันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันทน์(ชัยสงค์)
บทบาททางการเมืองของข้าพเจ้าในการต่อสู้จักรวรรดินิยมได้เริ่มขึ้นในตอนเช้าวันหนึ่ง วันนั้นข้าพเจ้ากำลังเข้าเวรเป็น “ผู้บังคับกองรักษาการณ์ภายใน” อยู่ภายในกองสันติบาล ร.ต.อ.เชื้อ สุวรรณศร เพื่อนรักร่วมชั้นเรียนครั้งในโรงเรียนนายร้อยทหารบกเข้ามาหาข้าพเจ้า เขาส่งยิ้มมองเห็นเขี้ยวทั้งสองที่งอกขึ้นมาแต่ไกล
เมื่อใกล้เข้ามาก็หัวเราะแฮะๆ ร่วนไปมาโดยไม่เห็นมีเรื่องอะไรเป็นที่น่าขบขันเลยแม้แต่น้อย ทำเอาข้าพเจ้าก็ต้องพลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย คือเป็นการหัวเราะขบขันในการที่เพื่อนของข้าพเจ้าหัวเราะโดยไม่มีการขบขันนั่นเอง นี่แหละคือนิสัยของเขา เมื่อพบหน้าก็หัวเราะร่วมเป็นการประจำโดยไม่ต้องมีการขบขันใดๆ
ในที่สุดเขาเข้ามายืนตรงหน้าข้าพเจ้า แล้วก็ตั้งคำถามเอาดื้อๆ ว่า-
“เฮ้ย, ลื้อเกลียดอ้ายยุ่นไหมวะ?”
คำว่า ‘อ้ายยุ่น’ นั้นข้าพเจ้าเข้าใจมานานแล้วว่ามีความหมายถึง ‘ยุ่นปี่’ คือทหารญี่ปุ่นที่มีอยู่เกลื่อนถนนในเวลานี้ ข้าพเจ้ามิพักต้องตรึกตรองแม้แต่น้อย ได้ตอบเขาไปอย่างทันควันที่สุดว่า-
“อ้ายห่า ไม่ต้องถาม เรื่องอ้ายยุ่นนี้ อั๊วอยากลากไส้มันเหลือเกิน...”
พูดยังไม่ทันจะขาดคำ เขาก็ยื่นปากของเขาที่มีเขี้ยวนั้นมาใกล้หูข้าพเจ้าแล้วก็พูดเบาๆว่า
“เมื่อลื้อเกลียดมันแล้วลื้อจะร่วมมือกับอั๊วไหม?... นี่ลับนะโว้ย อย่าเอะอะไป”
“ร่วมอย่างไรไม่เข้าใจ?” ข้าพเจ้าถามอย่างเร็ว
“รบมันนะซี”
ข้าพเจ้าตะลึงที่เพื่อนรักตอบโพล่งออกมาอย่างตรงๆ ชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ยอะไร ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเชื่อถือเขานัก เพราะเขาเป็นผู้มีนิสัยชอบคุยเล่น เอาแต่สนุกสนานและรู้สึกอยู่ภายในจิตใจว่าไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นได้เพราะประเทศของเรายากจน อีกทั้งก็เป็นประเทศเล็กๆ และไม่มีอาวุธพอที่จะเข้าต่อกรกับมหาประเทศเช่นนั้นได้ จึงได้กล่าวขึ้นว่า
“พูดจริงหรือพูดเล่น? อาวุธก็ไม่มีพอที่จะรบ อ้ายห่าพูดอย่างนี้ได้ตายโหงกันบ้าง...”
เขาหัวเราะเสียงดังกลบคำพูดตอนท้ายของข้าพเจ้าไปเสียหมด เขางอหายไปไม่น้อยกว่า ๑๐ วินาทีจึงได้เริ่มอธิบายว่า
“เรื่องอาวุธนั้นลื้อไม่ต้องตกใจ เรามีทุกอย่างครบครัน ไม่พอก็ส่งมาจากเมืองฝรั่งได้ สำคัญมันอยู่ที่ว่าลื้อจะเอาไหมเท่านั้นเอง?”
ข้าพเจ้าทำตาโตก่อนถามเขาว่า
“ก็อ้ายยุ่นมันคุมหมดประเทศอย่างนี้แล้วจะขนถ่ายอาวุธที่ท่าเรือได้อย่างไร..?”
“อ้ายห่ามัวแต่เซ่อนอนกอดเมียอยู่นั่นแหละ ไม่รู้หรือว่าอาวุธเขาส่งเข้ามาเยอะแยะแล้ว บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว”
ข้าพเจ้าเคืองขึ้นมาหน่อยๆ ที่เขาหาว่า ข้าพเจ้ามัวแต่นอนกอดเมีย เมื่อเห็นอาการข้าพเจ้าชักไม่พอใจ เขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน ครั้งนี้เป็นการหัวเราะนานกว่าครั้งใดๆ และมีลูกคอผสมด้วย เพราะสามารถแหย่เส้นเข้าแล้ว ข้าพเจ้าก็ตอบไปอย่างไม่ค่อยพอใจนักว่า
“ก็อั๊วเข้าเวรเป็น ‘ไทยยาม’ อยู่ยังงี้จะไปรู้เรื่องอะไรวะ..ไม่เหมือนลื้อนี่โว้ยเที่ยวซอกแซก อยู่สอบสวนกลางควบคุมคดีทั่วราชอาณาจักร..”
เขาหัวเราะแหะๆ อีกครั้งแล้วก็หันมาพูดกับข้าพเจ้าทำท่วงท่าอย่างฝืนๆ ทำเป็นเอาการเอางานว่า
“นี่ อั๊วขอรู้แต่เพียงว่าจะเอาหรือไม่เอาเท่านั้น ?”
“เอาอะไร?”
“รบอ้ายยุ่นน่ะซิ” เขากระแทรกเสียง
ข้าพเจ้านึกเคืองออกมานิดๆ เพราะคำถามนี้ได้ตอบไปแล้ว จึงกระแทกเข้าให้ว่า “อ้ายห่า อั๊วก็บอกแล้วว่า ‘เอา’ แล้วจะยังมาถามอะไรอีกรำคาญจริง”
เขาหัวเราะอย่างชอบใจอีกครั้งหนึ่งก่อนกล่าวว่า
“เรื่องพรรค์นี้ ก็ต้องถามให้มันชัดๆ หน่อยซิโว้ย เรื่องรบกันนะโว้ย ไม่ใช่ขี้ไก่..”
ข้าพเจ้าเอาศอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงเบาๆ แล้วบอกว่า
“นี่ เบาๆ หน่อย ไหนว่าเป็นความลับ แหกปากพูดไปได้ ได้ยินไปทั้งกองรักษาการณ์แล้ว”
“เออจริง” เขาตอบแล้วก็ทำท่าทางเอามือป้องปากพูด กระซิบกระซาบ ทำเอาข้าพเจ้าหมั่นไส้จึงถามเขาเบาๆ ว่า
“ลื้อจะวางโปรแกรมให้อั๊วไปรบที่ไหน?”
“ชุมพร” เขาตอบข้าพเจ้าแล้ววางหน้าตาเฉย
“งั้นอั๊วก็ต้องย้ายไป..”
“เออ”
“วะ ลื้อก็เป็นอธิบดีกรมตำรวจน่ะซิ จึงได้สั่งย้ายอั๊วไปได้ตามชอบใจ” ข้าพเจ้าขัดอย่างดูถูกเขาอย่างเต็มที่ว่า เขาจะไม่สามารถย้ายข้าพเจ้าไปได้
“เชื้อ สุวรรณศร หัวเราะงอหายอีกครั้งจนเหงือกแห้ง ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ครูดลงมากับเขี้ยวทั้งสองข้างอันเป็นสัญลักษณ์ของเขาแล้วก็หลิ่วตาเอ่ยขึ้นว่า
“ก็อั๊วรู้ซิวะว่าลื้อจะต้องสู้อ้ายยุ่น อั๊วก็เลยบอกท่านอธิบดีไปโดยไม่ต้องมาถามลื้อว่า อั๊วเอาลื้อได้อีกคนหนึ่ง-อ้าวฟัง อั๊วจะออกคำสั่งให้ลื้อไปหาอธิบดีได้ที่วังปารุสนี้ แล้วลื้อก็จะรู้รายละเอียด”
ข้าพเจ้างงเหมือนได้ดูการแสดงของนักแสดงกล บัดนี้เป็นกลฉากหนึ่งของเพื่อนรักของข้าพเจ้าที่มาแสดงตลกแกมจริง อดอยู่ไม่ได้จึงซักฟอกว่า
“อ้ายห่า-พูดเล่นหรือพูดจริง หน่อยท่านไม่ได้เรียก อั๊วเสือกเข้าไปก็จะถูกตะเพิดวิ่งออกมาไม่ทัน..”
ข้าพเจ้าพูดยังไม่ทันจะขาดคำเขาก็ตัดคำพูดของข้าพเจ้าโดยใช้คำขึ้นหน้านามข้าพเจ้าใหม่ ดักขึ้นว่า
“เฮ้ย..นี่อ้ายเฉียบ, อั๊วพูดแล้วไม่โกหก อั๊วบอกลื้อให้ไปหาท่านอธิบดีวันนี้ ถ้าลื้อไม่ไป งานใหญ่มันจะเสียโว้ย เข้าใจไหมวะ ?”
“จริงๆ รึ ? ไม่โกหกแน่นะ” ข้าพเจ้าย้ำ
“พุธโธ่..ลื้อเห็นอั๊วเป็นนักโทษไปได้.. เมื่อก่อนน่ะโกหกจริง แต่วันนี้ไม่ได้โกหก พูดจริงๆ”
แล้วเขาก็ตีหน้ากับข้าพเจ้าราวกับว่าเขาเป็นอธิบดีกรมตำรวจ และทำท่าทางไม่เหมือนก่อน มีการสำรวมการหัวเราะของเขาลง พยายามแสดงอาการขึงขังให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่เขากล่าวนั้นเป็นความจริง เพราะเครดิตของเขาเฉพาะกับข้าพเจ้าเสื่อมไปหมดแล้ว เนื่องจากเขาชอบพูดเล่นกับข้าพเจ้าเสียจนไม่เป็นมื้อเป็นยาม ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตกลงกับเขาว่า
“ถ้างั้นออกเวรเที่ยงวันนี้แล้ว ตอนเย็นอั๊วจะไปหาท่านอธิบดีตามลื้อว่านะ”
“เออ ยางงั้นซีวะ..”
เขายานคางด้วยสายตาอันแจ่มใสด้วยอาการสิ้นกังวล แล้วเขาก็ทำวันทยาหัตถ์ด้วยอาการล้อเลียนข้าพเจ้าทั้งๆที่เขาแต่งพลเรือนและสวมหมวกกะโล่ แล้วหมุนตัวออกไปจากห้อง “ผู้บังคับกองรักษาการณ์ภายใน”
ข้าพเจ้ามองตามหลังเขาไปตามถนนโรยกรวดเล็กๆ ซึ่งตรงไปยังตึกสอบสวนกลาง นึกขบขันในท่าทีของเพื่อนคนนี้ เพราะเขาเป็นเพื่อนของข้าพเจ้ามานานกว่า ๑๐ ปีแล้ว ตั้งแต่เราเรียนอยู่ในโรงเรียนนายร้อยทหารบกด้วยกัน เขาเป็นผู้มีนิสัยร่าเริงอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะพบเขา ณ ที่แห่งใด สิ่งที่นำหน้าออกมาแทนคำพูดของเขา คือ อาการ “หัวเราะ” ของเขา ทั้งๆที่เขาไม่มีเรื่องอะไรเป็นที่ขบขันให้หัวเราะเลย ลงท้ายเราก็ต้องหัวเราะไปกับเขาด้วยโดยไม่มีเหตุผล บัดนี้ก็ถึงงานชิ้นใหม่ ซึ่งเขาเป็นตัวการมาชักชวนให้แนวชีวิตของข้าพเจ้าต้อง “ตามวิถีการเมืองของท่านปรีดี พนมยงค์” อันเป็นปฐมเหตุที่ฉุดให้ข้าพเจ้ามุ่งไปสู่ “การเมือง” ในเบื้องต้น.
เมื่อใกล้เข้ามาก็หัวเราะแฮะๆ ร่วนไปมาโดยไม่เห็นมีเรื่องอะไรเป็นที่น่าขบขันเลยแม้แต่น้อย ทำเอาข้าพเจ้าก็ต้องพลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย คือเป็นการหัวเราะขบขันในการที่เพื่อนของข้าพเจ้าหัวเราะโดยไม่มีการขบขันนั่นเอง นี่แหละคือนิสัยของเขา เมื่อพบหน้าก็หัวเราะร่วมเป็นการประจำโดยไม่ต้องมีการขบขันใดๆ
ในที่สุดเขาเข้ามายืนตรงหน้าข้าพเจ้า แล้วก็ตั้งคำถามเอาดื้อๆ ว่า-
“เฮ้ย, ลื้อเกลียดอ้ายยุ่นไหมวะ?”
คำว่า ‘อ้ายยุ่น’ นั้นข้าพเจ้าเข้าใจมานานแล้วว่ามีความหมายถึง ‘ยุ่นปี่’ คือทหารญี่ปุ่นที่มีอยู่เกลื่อนถนนในเวลานี้ ข้าพเจ้ามิพักต้องตรึกตรองแม้แต่น้อย ได้ตอบเขาไปอย่างทันควันที่สุดว่า-
“อ้ายห่า ไม่ต้องถาม เรื่องอ้ายยุ่นนี้ อั๊วอยากลากไส้มันเหลือเกิน...”
พูดยังไม่ทันจะขาดคำ เขาก็ยื่นปากของเขาที่มีเขี้ยวนั้นมาใกล้หูข้าพเจ้าแล้วก็พูดเบาๆว่า
“เมื่อลื้อเกลียดมันแล้วลื้อจะร่วมมือกับอั๊วไหม?... นี่ลับนะโว้ย อย่าเอะอะไป”
“ร่วมอย่างไรไม่เข้าใจ?” ข้าพเจ้าถามอย่างเร็ว
“รบมันนะซี”
ข้าพเจ้าตะลึงที่เพื่อนรักตอบโพล่งออกมาอย่างตรงๆ ชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ยอะไร ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเชื่อถือเขานัก เพราะเขาเป็นผู้มีนิสัยชอบคุยเล่น เอาแต่สนุกสนานและรู้สึกอยู่ภายในจิตใจว่าไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นได้เพราะประเทศของเรายากจน อีกทั้งก็เป็นประเทศเล็กๆ และไม่มีอาวุธพอที่จะเข้าต่อกรกับมหาประเทศเช่นนั้นได้ จึงได้กล่าวขึ้นว่า
“พูดจริงหรือพูดเล่น? อาวุธก็ไม่มีพอที่จะรบ อ้ายห่าพูดอย่างนี้ได้ตายโหงกันบ้าง...”
เขาหัวเราะเสียงดังกลบคำพูดตอนท้ายของข้าพเจ้าไปเสียหมด เขางอหายไปไม่น้อยกว่า ๑๐ วินาทีจึงได้เริ่มอธิบายว่า
“เรื่องอาวุธนั้นลื้อไม่ต้องตกใจ เรามีทุกอย่างครบครัน ไม่พอก็ส่งมาจากเมืองฝรั่งได้ สำคัญมันอยู่ที่ว่าลื้อจะเอาไหมเท่านั้นเอง?”
ข้าพเจ้าทำตาโตก่อนถามเขาว่า
“ก็อ้ายยุ่นมันคุมหมดประเทศอย่างนี้แล้วจะขนถ่ายอาวุธที่ท่าเรือได้อย่างไร..?”
“อ้ายห่ามัวแต่เซ่อนอนกอดเมียอยู่นั่นแหละ ไม่รู้หรือว่าอาวุธเขาส่งเข้ามาเยอะแยะแล้ว บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว”
ข้าพเจ้าเคืองขึ้นมาหน่อยๆ ที่เขาหาว่า ข้าพเจ้ามัวแต่นอนกอดเมีย เมื่อเห็นอาการข้าพเจ้าชักไม่พอใจ เขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน ครั้งนี้เป็นการหัวเราะนานกว่าครั้งใดๆ และมีลูกคอผสมด้วย เพราะสามารถแหย่เส้นเข้าแล้ว ข้าพเจ้าก็ตอบไปอย่างไม่ค่อยพอใจนักว่า
“ก็อั๊วเข้าเวรเป็น ‘ไทยยาม’ อยู่ยังงี้จะไปรู้เรื่องอะไรวะ..ไม่เหมือนลื้อนี่โว้ยเที่ยวซอกแซก อยู่สอบสวนกลางควบคุมคดีทั่วราชอาณาจักร..”
เขาหัวเราะแหะๆ อีกครั้งแล้วก็หันมาพูดกับข้าพเจ้าทำท่วงท่าอย่างฝืนๆ ทำเป็นเอาการเอางานว่า
“นี่ อั๊วขอรู้แต่เพียงว่าจะเอาหรือไม่เอาเท่านั้น ?”
“เอาอะไร?”
“รบอ้ายยุ่นน่ะซิ” เขากระแทรกเสียง
ข้าพเจ้านึกเคืองออกมานิดๆ เพราะคำถามนี้ได้ตอบไปแล้ว จึงกระแทกเข้าให้ว่า “อ้ายห่า อั๊วก็บอกแล้วว่า ‘เอา’ แล้วจะยังมาถามอะไรอีกรำคาญจริง”
เขาหัวเราะอย่างชอบใจอีกครั้งหนึ่งก่อนกล่าวว่า
“เรื่องพรรค์นี้ ก็ต้องถามให้มันชัดๆ หน่อยซิโว้ย เรื่องรบกันนะโว้ย ไม่ใช่ขี้ไก่..”
ข้าพเจ้าเอาศอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงเบาๆ แล้วบอกว่า
“นี่ เบาๆ หน่อย ไหนว่าเป็นความลับ แหกปากพูดไปได้ ได้ยินไปทั้งกองรักษาการณ์แล้ว”
“เออจริง” เขาตอบแล้วก็ทำท่าทางเอามือป้องปากพูด กระซิบกระซาบ ทำเอาข้าพเจ้าหมั่นไส้จึงถามเขาเบาๆ ว่า
“ลื้อจะวางโปรแกรมให้อั๊วไปรบที่ไหน?”
“ชุมพร” เขาตอบข้าพเจ้าแล้ววางหน้าตาเฉย
“งั้นอั๊วก็ต้องย้ายไป..”
“เออ”
“วะ ลื้อก็เป็นอธิบดีกรมตำรวจน่ะซิ จึงได้สั่งย้ายอั๊วไปได้ตามชอบใจ” ข้าพเจ้าขัดอย่างดูถูกเขาอย่างเต็มที่ว่า เขาจะไม่สามารถย้ายข้าพเจ้าไปได้
“เชื้อ สุวรรณศร หัวเราะงอหายอีกครั้งจนเหงือกแห้ง ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ครูดลงมากับเขี้ยวทั้งสองข้างอันเป็นสัญลักษณ์ของเขาแล้วก็หลิ่วตาเอ่ยขึ้นว่า
“ก็อั๊วรู้ซิวะว่าลื้อจะต้องสู้อ้ายยุ่น อั๊วก็เลยบอกท่านอธิบดีไปโดยไม่ต้องมาถามลื้อว่า อั๊วเอาลื้อได้อีกคนหนึ่ง-อ้าวฟัง อั๊วจะออกคำสั่งให้ลื้อไปหาอธิบดีได้ที่วังปารุสนี้ แล้วลื้อก็จะรู้รายละเอียด”
ข้าพเจ้างงเหมือนได้ดูการแสดงของนักแสดงกล บัดนี้เป็นกลฉากหนึ่งของเพื่อนรักของข้าพเจ้าที่มาแสดงตลกแกมจริง อดอยู่ไม่ได้จึงซักฟอกว่า
“อ้ายห่า-พูดเล่นหรือพูดจริง หน่อยท่านไม่ได้เรียก อั๊วเสือกเข้าไปก็จะถูกตะเพิดวิ่งออกมาไม่ทัน..”
ข้าพเจ้าพูดยังไม่ทันจะขาดคำเขาก็ตัดคำพูดของข้าพเจ้าโดยใช้คำขึ้นหน้านามข้าพเจ้าใหม่ ดักขึ้นว่า
“เฮ้ย..นี่อ้ายเฉียบ, อั๊วพูดแล้วไม่โกหก อั๊วบอกลื้อให้ไปหาท่านอธิบดีวันนี้ ถ้าลื้อไม่ไป งานใหญ่มันจะเสียโว้ย เข้าใจไหมวะ ?”
“จริงๆ รึ ? ไม่โกหกแน่นะ” ข้าพเจ้าย้ำ
“พุธโธ่..ลื้อเห็นอั๊วเป็นนักโทษไปได้.. เมื่อก่อนน่ะโกหกจริง แต่วันนี้ไม่ได้โกหก พูดจริงๆ”
แล้วเขาก็ตีหน้ากับข้าพเจ้าราวกับว่าเขาเป็นอธิบดีกรมตำรวจ และทำท่าทางไม่เหมือนก่อน มีการสำรวมการหัวเราะของเขาลง พยายามแสดงอาการขึงขังให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่เขากล่าวนั้นเป็นความจริง เพราะเครดิตของเขาเฉพาะกับข้าพเจ้าเสื่อมไปหมดแล้ว เนื่องจากเขาชอบพูดเล่นกับข้าพเจ้าเสียจนไม่เป็นมื้อเป็นยาม ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตกลงกับเขาว่า
“ถ้างั้นออกเวรเที่ยงวันนี้แล้ว ตอนเย็นอั๊วจะไปหาท่านอธิบดีตามลื้อว่านะ”
“เออ ยางงั้นซีวะ..”
เขายานคางด้วยสายตาอันแจ่มใสด้วยอาการสิ้นกังวล แล้วเขาก็ทำวันทยาหัตถ์ด้วยอาการล้อเลียนข้าพเจ้าทั้งๆที่เขาแต่งพลเรือนและสวมหมวกกะโล่ แล้วหมุนตัวออกไปจากห้อง “ผู้บังคับกองรักษาการณ์ภายใน”
ข้าพเจ้ามองตามหลังเขาไปตามถนนโรยกรวดเล็กๆ ซึ่งตรงไปยังตึกสอบสวนกลาง นึกขบขันในท่าทีของเพื่อนคนนี้ เพราะเขาเป็นเพื่อนของข้าพเจ้ามานานกว่า ๑๐ ปีแล้ว ตั้งแต่เราเรียนอยู่ในโรงเรียนนายร้อยทหารบกด้วยกัน เขาเป็นผู้มีนิสัยร่าเริงอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะพบเขา ณ ที่แห่งใด สิ่งที่นำหน้าออกมาแทนคำพูดของเขา คือ อาการ “หัวเราะ” ของเขา ทั้งๆที่เขาไม่มีเรื่องอะไรเป็นที่ขบขันให้หัวเราะเลย ลงท้ายเราก็ต้องหัวเราะไปกับเขาด้วยโดยไม่มีเหตุผล บัดนี้ก็ถึงงานชิ้นใหม่ ซึ่งเขาเป็นตัวการมาชักชวนให้แนวชีวิตของข้าพเจ้าต้อง “ตามวิถีการเมืองของท่านปรีดี พนมยงค์” อันเป็นปฐมเหตุที่ฉุดให้ข้าพเจ้ามุ่งไปสู่ “การเมือง” ในเบื้องต้น.
No comments:
Post a Comment