Tuesday, March 18, 2008

บทความที่๓๖๑.พบถิ่นอินเดีย-ท่องเที่ยวไปในอินเดีย

บันทึกของเนห์รู
(เรียบเรียงจาก The Discovery of India ของยวาหระลาล เนห์รู , กรุณา กุศลาสัย แปล)
บันทึกในที่คุมขังป้อมอะหะหมัดนคร
ท่องเที่ยวไปในอินเดีย

ในตอนปลาย ค.ศ.๑๙๓๖ และตอนต้น ค.ศ.๑๙๓๗ การเดินทางของข้าพเจ้าเริ่มมีมากขึ้นเป็นลำดับ ข้าพเจ้าเดินทางไปในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนกับพายุคือเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน เคลื่อนที่อยู่เสมอไม่มีเวลาหยุด ไม่มีเวลาจะพักผ่อนที่ใดเลยก็ว่าได้ เสียงเรียกร้องต้องการให้ข้าพเจ้าไปปรากฏตัวได้ดังมาจากทุกแห่งหน เวลาก็มีจำกัด เพราะการเลือกตั้งทั่วไปกำลังใกล้เข้ามา ข้าพเจ้าได้รับการคาดคะเนให้หาเสียงให้แก่ผู้อื่นด้วย ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าเดินทางด้วยรถยนต์ บางโอกาสก็ใช้เครื่องบิน และรถไฟ สำหรับระยะทางสั้นๆ ข้าพเจ้าต้องใช้ช้าง อูฐ ม้า เรือยนต์ เรือพายด้วยเท้า เรือพายด้วยมือ จักรยาน หรือมิฉะนั้นก็เดินเท้า การเดินทางด้วยวิธีแปลกๆ เช่นนี้ บางครั้งก็จำเป็นในเมื่อเข้าสู่ส่วนลึกของประเทศที่ห่างไกลจากเส้นทางคมนาคมธรรมดา

ข้าพเจ้ามีเครื่องขยายเสียงติดตัวไปด้วยสองชุด เพราะไม่มีทางอื่นที่จะพูดคุยกับชุมชนจำนวนมากมายได้ดีไปกว่านี้ อีกทั้งข้าพเจ้าเองก็จะไม่มีเสียงพูดได้ด้วย เครื่องขยายเสียงนี้ได้เดินทางไปยังสถานที่แปลกๆ พร้อมกับข้าพเจ้า ตั้งแต่ชายแดนประเทศธิเบต จนถึงชายแดนประเทศบาลูจิสตาน อันเป็นสถานที่ที่คนทั่วๆไป ไม่เคยได้เห็น หรือรู้จักเครื่องขยายเสียงมาก่อน

ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงค่ำมืดดึกดื่น ข้าพเจ้าต้องเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากมายรอคอยข้าพเจ้าอยู่ ระหว่างทางในสถานที่หลายแห่ง ก็มีชาวชนบทผู้มีความอดทนยืนรอรับข้าพเจ้าอยู่ การยืนรอรับของชาวชนบทเหล่านี้เป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นโดยมิได้มีการบอกล่วงหน้าก่อน ซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนแก่รายการอันกระชั้นชิดของข้าพเจ้า และทำให้การนัดหมายทั้งหลายต้องชักช้าไปด้วย แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะให้ข้าพเจ้ารีบรุดผ่านไป โดยไม่นำพาและสนใจต่อชาวชนบทผู้ต่ำต้อยเหล่านั้น ดังนั้นความชักช้าจึงได้เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก

ยิ่งกว่านั้นตามที่ชุมชนกลางแจ้งข้าพเจ้ายังต้องใช้เวลาหลายนาทีในการตะลุยฝูงชนผ่านเข้าไปกว่าจะถึงข้างนอกอีกเล่า ในภาวการณ์เช่นนี้ทุกๆ นาทีย่อมมีค่า และเมื่อนาทีบวกกันมากเข้าๆ ก็กลายเป็นชั่วโมง เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาเย็นก็ปรากฏว่าข้าพเจ้าช้าไปตั้งหลายชั่วโมงเสียแล้ว ถึงกระนั้น กลุ่มชนก็ยังรอคอยข้าพเจ้าอยู่ด้วยความอดทน ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาว และเขาเหล่านั้นต้องนั่งสั่นอยู่ในกลางแจ้ง ท่ามกล่างความเหน็บหนาว เพราะขาดแคลนเสื้อผ้าที่จะช่วยให้ความอบอุ่น

มีใครคนหนึ่งได้กรุณารวบรวมหลักฐานไว้ คะเนว่า ในระยะเวลา ๒-๓ เดือนนั้น มีประชาชนประมาณสิบล้านคนเข้าร่วมชุมนุมที่ข้าพเจ้ากล่าวคำปราศรัย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายล้านคนที่ได้มีโอกาสพบปะกับข้าพเจ้าไม่โดยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง ในระหว่างที่ข้าพเจ้าเดินทางผ่านไปในการชุมนุมใหญ่ๆ จะมีประชาชนเข้าร่วมด้วยประมาณหนึ่งแสนคน ส่วนการชุมนุมขณะที่มีคนเข้าร่วมด้วยประมาณสองหมื่นคนนั้น มีอยู่โดยทั่วไป

บางครั้งขณะที่ผ่านเมืองย่อมๆ ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้สังเกตว่าเมืองนั้นมีสภาพคล้ายเมืองร้าง บรรดาร้านโรงต่างๆ พากันปิดหมด ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็เกิดความเข้าใจในสภาพเช่นนั้น เมื่อได้พบว่าประชาชนแทบทั้งหมดในเมืองนั้นไม่ว่าชายหญิงและแม้แต่เด็กต่างก็พากันไปรวมอยู่ ณ ที่ชุมนุมซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเมืองและเข้าเหล่านั้นกำลังรอการไปถึงของข้าพเจ้าอยู่อย่างเต็มไปด้วยความอดทน

ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติภารกิจดังพรรณนามานี้ให้ลุล่วงไปได้โดยปราศจากการล้มป่วยลงได้อย่างไร แม้ในขณะที่เขียนนี้ข้าพเจ้าเองก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ เพราะเป็นภารกิจที่ต้องใช้ความอดทนทางร่างกายเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้ามักหลับไปในรถยนต์อย่างแทบสิ้นสติประมาณครึ่งชั่วโมง ขณะที่เดินทางอยู่ระหว่างชุมนุมสองแห่ง แล้วก็ไม่อยากจะลุกขึ้นเลย แต่ข้าพเจ้าก็ต้องลุก โดยเฉพาะเมื่อฝูงชนจำนวนมากมายส่งเสียงเซ็งแซ่ต้อนรับ และในที่สุดก็ปลุกให้ข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์

ข้าพเจ้าลดปริมาณอาหารที่รับประทานลงให้เหลือน้อยที่สุดและมักจะเลิกรับประทานเสียมื้อหนึ่ง โดยเฉพาะมื้อเย็น เพราะทำให้รู้สึกสบายดีแต่สิ่งที่ให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าและทำให้ข้าพเจ้าเปี่ยมไปด้วยพลังทั่วสรรพางค์กายก็คือ ความกระตือรือร้นและความรักอันมหาศาลของฝูงชน ซึ่งห้อมล้อมและคอยต้อนรับข้าพเจ้าอยู่ทั่วทุกแห่งที่ไปถึง ข้าพเจ้าเคยชินกับมัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถจะเป็นกันเองกับมันไปได้อย่างสิ้นเชิง เพราะทุกวันใหม่ที่เกิดขึ้น วันใหม่นั้นต่างก็นำความประหลาดใหม่ๆ พ่วงมาด้วยเสมอ

No comments: