ภารกิจเสรีไทย
จากบันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันทน์(ชัยสงค์)
ปี พ.ศ.๒๔๘๔
ข้าพเจ้ากำโทรเลขไว้ในมือจนรู้สึกว่าเหงื่อมือนั้นซึมออกมาเปียกกระดาษโทรเลขนั้นไปเสียแล้ว หัวใจข้าพเจ้าเต้นระทึกอยู่ไปมาด้วยดีใจแล้วก็คลี่โทรเลขนั้นออกอ่านซ้ำแล้วก็ซ้ำเล่า เพราะข้อความสั้นๆในโทรเลขนั้นตรึงใจข้าพเจ้ายิ่งนัก จะไม่ให้ตรึงใจข้าพเจ้าได้อย่างไรเล่า เพราะมันเป็นข้อความที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความเป็นธรรมในกระดาษแบบพิมพ์โทรเลขนั้นมีข้อความว่า
“เมื่อทำงานตามหน้าที่แล้วไม่พึงต้องวิตกอะไร”
อดุล.
ข้าพเจ้ายิ้มกับโทรเลขฉบับนั้นอย่างสดชื่นราวกับว่ามันเป็นโอสถทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ชะโลมกำลังใจของข้าพเจ้าเพราเหตุใดเล่าข้าพเจ้าจึงมีความคิดเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะไม่คิดได้อย่างไรเมื่อชีวิตของข้าพเจ้าเป็นชีวิตแห่งการต่อสู้ตลอดมาเพื่ออุดมการณ์แห่งความเป็นธรรม และบัดนี้ก็เป็นจังหวะหนึ่งในการต่อสู้ที่ข้าพเจ้าจะได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของข้าพเจ้าแล้ว นั่นคือโทรเลขจาก ‘อดุล อดุลย์เดชจรัส’ อธิบดีของข้าพเจ้าในยุคนั้น
ข้าพเจ้ามียศเป็นเพียง “นายร้อยตำรวจตรี” และมีอายุราชการเพียงสองปีเท่านั้นก็ได้รับตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิแห่งภาคอิสาน มีความรับผิดชอบให้ความปลอดภัยต่อราษฎรทั้งอำเภออันกว้างใหญ่และก็รับผิดชอบตลอดมาเป็นเวลาสองปีเต็มๆ แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้พบเข้ากับ “การต่อสู้” ที่ไม่มีใครอยากเข้าปะทะ เพราะมันเป็นการปะทะที่เต็มไปด้วยอันตราย นั่นคือการปะทะเข้ากับผู้ใหญ่ที่สูงที่สุดแห่งจังหวัดคือ-ข้าหลวงประจำจังหวัด
ข้าพเจ้าเป็น “พระภูมิเจ้าที่” ในท้องที่ทุรกันดารอย่างยิ่ง จะไม่มีถนนสักสายเดียวที่รถยนต์จะสามารถแล่นผ่านไปได้ ราษฎรแห่งอำเภอนี้จะไม่เคยเห็นรถไฟว่ารูปร่างหน้าตาของมันเป็นอย่างใด จะเห็นจำเจอยู่ก็คือเกวียนอ้ายทุยและพาหนะม้าที่มีฝีเท้าอันรวดเร็ว หรือมิฉะนั้นก็เป็นม้าต่างที่บรรทุกน้ำแข็งจากจังหวัดมาให้เรากิน แต่เมื่อมาถึงแล้วจากก้อนโตมหึมาก็จะเหลือก้อนเท่ากำปั้น ทางเกวียนที่คดเคี้ยว ทางคนเดินในป่าซึ่งม้าสามารถใช้อาศัยได้นั้นจะมีอยู่ทั่วไป
หนทางเหล่านี้จะผ่านแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยโคลนตม ผ่านลำธารที่เชี่ยวโกรก, ผ่านตอไม้และขอนไม้ที่ล้มขวางทางอยู่ มันจะเลี้ยวลัดเข้าไปในป่าซึ่งลึกพอที่จะพบกับรอยเท้าของเสือโคร่งเข้าบ่อยๆ เมื่อข้าพเจ้าจะควบม้าเข้าสู่ตัวจังหวัดซึ่งอยู่ห่าง ๑,๐๐๐ เส้นนั้น จะต้องเตรียมมะนาวใส่กระเป๋าเสื้อไปด้วย เพราะบ่อยครั้งที่ม้าคู่ชีพของข้าพเจ้าไม่ยอมวิ่งต่อไป มันจะถอยหลังกรูดมีกิริยาแห่งความกลัวและลนลานจนผิดสังเกต ไม่ใช่อื่นไกลเพราะเหตุว่ามันได้กลิ่นสาปของเสือ ข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องบีบผิวมะนาวนั้นลงที่ปลายจมูกของมัน นั่นแหละจึงจะสามารถแก้ไขทำให้มันวิ่งห้อเหยียดออกจากแห่งนั้นได้
ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้ย้ายมาจากสถานีตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๔๘๓ และเข้ารับโอนงานสอบสวนจากอำเภอ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ตำรวจเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการสอบสวนคดีอาญาทั้งมวล ณ สถานีตำรวจอำเภอจัตุรัสนั้น ก็ไม่เคยมีนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรมาแต่ก่อนเลยนับตั้งแต่มีแผ่นดินผืนนี้
ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งเป็น “ผู้บังคับกองอำเภอ” จัตุรัสด้วยการถูกเพ่งเล็งจากบรรดาข้าราชการฝ่ายอำเภอและตลอดจนราษฎรทั่วไปว่า นายตำรวจหนุ่มอย่างข้าพเจ้านี้จะสามารถปฏิบัติงานได้หรือ เพราะเมื่อก่อนโน้นก็พบแต่ว่าเป็นหน้าที่ของนายอำเภอและปลัดอำเภอที่สูงอายุเป็นท่านขุนหลวงกันทั้งนั้น
ข้าพเจ้าได้ปกครองอำเภอนี้ด้วยความเที่ยงธรรมที่สุดที่จะพึงทำได้ ข้าพเจ้าได้วางหลักการปกครองว่าจะต้องกระทำไปด้วย “อุดมการแห่งความเป็นธรรม” ได้ต่อต้านการกดขี่ทุกสถาน. ปลดเปลื้องการกดขี่ที่ราษฎรได้รับอยู่เท่าที่ข้าพเจ้ามีอำนาจอยู่จะดำเนินการได้ ข้าพเจ้าไม่เคยนึกหวาดกลัวอิทธิพลใด ยิ่งเป็นผู้มี “เงิน” ชอบใช้เงินขว้างหัวคนอื่นหรือเป็น “นักเลงโต” แล้ว ข้าพเจ้าก็ยินดียิ่งนักที่อยากจะทดลองดูว่าหนังของเขาจะเหนียวสักปานใด ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดเหยียบลงบนหัวของราษฎรอย่างเด็ดขาด แม้แต่นายถนอม..เศรษฐีแห่งอำเภอนี้ซึ่งเขาเป็นเจ้าของที่ดินใหญ่ที่มีที่ดินอย่างมหาศาลร่ำรวยจนเลืองลือ ข้าพเจ้าก็อัญเชิญเขาเข้าไปสงบสติอารมณ์อยู่ในคุกเพราะเขาเที่ยวหลอกให้คนอื่นลงนามในกระดาษเปล่าแล้วจะไปกรอกข้อความเอาเองสุดแต่ว่าจะบรรดาลให้เป็นสัญญากู้เงินหรือให้เป็นนิติกรรมใดๆ ก็ได้ทั้งสิ้น และเป็นการแน่นอนว่าสิ่งที่เขาทำขึ้นนั้นจะต้องนำความวิบัติมาสู่เจ้าของลายเซ็นนั้น
ข้าพเจ้าต่อสู้ทุกคนที่ไม่ช่วยกันรักษาความยุติธรรม แม้แต่ขุนศรีฯ อดีตปลัดอำเภอที่เรืองนามว่าเป็นนักกฎหมายและเรืองด้วยอิทธิพล ข้าพเจ้าก็ส่งขึ้นศาลเพื่อพิสูจน์ความผิดของเขาและในที่สุดข้าพเจ้าก็เข้า “ต่อสู้” กับข้าหลวงประจำจังหวัด นี่และเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าพลุ่งเข้าสู่กองตำรวจสันติบาล
ข้าพเจ้าไม่อยากที่จะเอ่ยนามท่านข้าหลวงประจำจังหวัดคนนั้น เพราะมันเป็นความหลังที่ข้าพเจ้าได้อโหสิให้แล้วเมื่อครั้งข้าพเจ้าได้ก้าวเข้าสู่พุทธอาณาจักรเมื่อปีที่แล้ว (เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐)ปัจจุบันนี้ท่านก็เป็นหลานเขยของรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่ประชาชนเบือนหน้าหนี แม้กระนั้นเขาก็กล้าสมัครเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร และในที่สุดคะแนนในการเลือกตั้งของพณฯก็มาอย่างสูงลิบ เป็นที่แปลกประหลาดจากหน่วยลงคะแนนที่อำเภอดุสิต
ข้าพเจ้าได้เข้าเผชิญหน้าท่านข้าหลวงประจำจังหวัดอย่างถึงใจเพราะท่านชอบสอดแทรกเข้ามาไกล่เกลี่ยรูปคดีที่นายทหารเป็นผู้ต้องหาทั้งๆที่มันเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ซึ่งจะยอมความกันไม่ได้ การกระทำของข้าหลวงประจำจังหวัดนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการประจบประแจงและเอาใจ “ทหาร” เนื่องจากเห็นว่าทหารนั้นเป็นผู้ทรงด้วยอำนาจ แม้ว่านายทหารนั้นจะมียศเพียง “ร้อยโท” ก็ตาม แต่ก็เป็นลูกศิษย์ของผู้ที่ยิ่งใหญ่อาจจะบรรดาลให้คุณและให้โทษได้
ข้าพเจ้าได้ทำการขัดขวางการกระทำที่ไม่ชอบของข้าหลวงประจำจังหวัดโดยเอาตำแหน่งของข้าพเจ้าเป็นเดิมพัน ซึ่งพร้อมแล้วที่จะออกจากราชการ ทั้งนี้เพื่อเกียรติของราษฎรชาวอีสานและต่อต้านการกดขี่อันไม่เป็นธรรมนั้น
จากบันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันทน์(ชัยสงค์)
ปี พ.ศ.๒๔๘๔
ข้าพเจ้ากำโทรเลขไว้ในมือจนรู้สึกว่าเหงื่อมือนั้นซึมออกมาเปียกกระดาษโทรเลขนั้นไปเสียแล้ว หัวใจข้าพเจ้าเต้นระทึกอยู่ไปมาด้วยดีใจแล้วก็คลี่โทรเลขนั้นออกอ่านซ้ำแล้วก็ซ้ำเล่า เพราะข้อความสั้นๆในโทรเลขนั้นตรึงใจข้าพเจ้ายิ่งนัก จะไม่ให้ตรึงใจข้าพเจ้าได้อย่างไรเล่า เพราะมันเป็นข้อความที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความเป็นธรรมในกระดาษแบบพิมพ์โทรเลขนั้นมีข้อความว่า
“เมื่อทำงานตามหน้าที่แล้วไม่พึงต้องวิตกอะไร”
อดุล.
ข้าพเจ้ายิ้มกับโทรเลขฉบับนั้นอย่างสดชื่นราวกับว่ามันเป็นโอสถทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ชะโลมกำลังใจของข้าพเจ้าเพราเหตุใดเล่าข้าพเจ้าจึงมีความคิดเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะไม่คิดได้อย่างไรเมื่อชีวิตของข้าพเจ้าเป็นชีวิตแห่งการต่อสู้ตลอดมาเพื่ออุดมการณ์แห่งความเป็นธรรม และบัดนี้ก็เป็นจังหวะหนึ่งในการต่อสู้ที่ข้าพเจ้าจะได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของข้าพเจ้าแล้ว นั่นคือโทรเลขจาก ‘อดุล อดุลย์เดชจรัส’ อธิบดีของข้าพเจ้าในยุคนั้น
ข้าพเจ้ามียศเป็นเพียง “นายร้อยตำรวจตรี” และมีอายุราชการเพียงสองปีเท่านั้นก็ได้รับตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิแห่งภาคอิสาน มีความรับผิดชอบให้ความปลอดภัยต่อราษฎรทั้งอำเภออันกว้างใหญ่และก็รับผิดชอบตลอดมาเป็นเวลาสองปีเต็มๆ แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้พบเข้ากับ “การต่อสู้” ที่ไม่มีใครอยากเข้าปะทะ เพราะมันเป็นการปะทะที่เต็มไปด้วยอันตราย นั่นคือการปะทะเข้ากับผู้ใหญ่ที่สูงที่สุดแห่งจังหวัดคือ-ข้าหลวงประจำจังหวัด
ข้าพเจ้าเป็น “พระภูมิเจ้าที่” ในท้องที่ทุรกันดารอย่างยิ่ง จะไม่มีถนนสักสายเดียวที่รถยนต์จะสามารถแล่นผ่านไปได้ ราษฎรแห่งอำเภอนี้จะไม่เคยเห็นรถไฟว่ารูปร่างหน้าตาของมันเป็นอย่างใด จะเห็นจำเจอยู่ก็คือเกวียนอ้ายทุยและพาหนะม้าที่มีฝีเท้าอันรวดเร็ว หรือมิฉะนั้นก็เป็นม้าต่างที่บรรทุกน้ำแข็งจากจังหวัดมาให้เรากิน แต่เมื่อมาถึงแล้วจากก้อนโตมหึมาก็จะเหลือก้อนเท่ากำปั้น ทางเกวียนที่คดเคี้ยว ทางคนเดินในป่าซึ่งม้าสามารถใช้อาศัยได้นั้นจะมีอยู่ทั่วไป
หนทางเหล่านี้จะผ่านแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยโคลนตม ผ่านลำธารที่เชี่ยวโกรก, ผ่านตอไม้และขอนไม้ที่ล้มขวางทางอยู่ มันจะเลี้ยวลัดเข้าไปในป่าซึ่งลึกพอที่จะพบกับรอยเท้าของเสือโคร่งเข้าบ่อยๆ เมื่อข้าพเจ้าจะควบม้าเข้าสู่ตัวจังหวัดซึ่งอยู่ห่าง ๑,๐๐๐ เส้นนั้น จะต้องเตรียมมะนาวใส่กระเป๋าเสื้อไปด้วย เพราะบ่อยครั้งที่ม้าคู่ชีพของข้าพเจ้าไม่ยอมวิ่งต่อไป มันจะถอยหลังกรูดมีกิริยาแห่งความกลัวและลนลานจนผิดสังเกต ไม่ใช่อื่นไกลเพราะเหตุว่ามันได้กลิ่นสาปของเสือ ข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องบีบผิวมะนาวนั้นลงที่ปลายจมูกของมัน นั่นแหละจึงจะสามารถแก้ไขทำให้มันวิ่งห้อเหยียดออกจากแห่งนั้นได้
ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้ย้ายมาจากสถานีตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๔๘๓ และเข้ารับโอนงานสอบสวนจากอำเภอ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ตำรวจเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการสอบสวนคดีอาญาทั้งมวล ณ สถานีตำรวจอำเภอจัตุรัสนั้น ก็ไม่เคยมีนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรมาแต่ก่อนเลยนับตั้งแต่มีแผ่นดินผืนนี้
ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งเป็น “ผู้บังคับกองอำเภอ” จัตุรัสด้วยการถูกเพ่งเล็งจากบรรดาข้าราชการฝ่ายอำเภอและตลอดจนราษฎรทั่วไปว่า นายตำรวจหนุ่มอย่างข้าพเจ้านี้จะสามารถปฏิบัติงานได้หรือ เพราะเมื่อก่อนโน้นก็พบแต่ว่าเป็นหน้าที่ของนายอำเภอและปลัดอำเภอที่สูงอายุเป็นท่านขุนหลวงกันทั้งนั้น
ข้าพเจ้าได้ปกครองอำเภอนี้ด้วยความเที่ยงธรรมที่สุดที่จะพึงทำได้ ข้าพเจ้าได้วางหลักการปกครองว่าจะต้องกระทำไปด้วย “อุดมการแห่งความเป็นธรรม” ได้ต่อต้านการกดขี่ทุกสถาน. ปลดเปลื้องการกดขี่ที่ราษฎรได้รับอยู่เท่าที่ข้าพเจ้ามีอำนาจอยู่จะดำเนินการได้ ข้าพเจ้าไม่เคยนึกหวาดกลัวอิทธิพลใด ยิ่งเป็นผู้มี “เงิน” ชอบใช้เงินขว้างหัวคนอื่นหรือเป็น “นักเลงโต” แล้ว ข้าพเจ้าก็ยินดียิ่งนักที่อยากจะทดลองดูว่าหนังของเขาจะเหนียวสักปานใด ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดเหยียบลงบนหัวของราษฎรอย่างเด็ดขาด แม้แต่นายถนอม..เศรษฐีแห่งอำเภอนี้ซึ่งเขาเป็นเจ้าของที่ดินใหญ่ที่มีที่ดินอย่างมหาศาลร่ำรวยจนเลืองลือ ข้าพเจ้าก็อัญเชิญเขาเข้าไปสงบสติอารมณ์อยู่ในคุกเพราะเขาเที่ยวหลอกให้คนอื่นลงนามในกระดาษเปล่าแล้วจะไปกรอกข้อความเอาเองสุดแต่ว่าจะบรรดาลให้เป็นสัญญากู้เงินหรือให้เป็นนิติกรรมใดๆ ก็ได้ทั้งสิ้น และเป็นการแน่นอนว่าสิ่งที่เขาทำขึ้นนั้นจะต้องนำความวิบัติมาสู่เจ้าของลายเซ็นนั้น
ข้าพเจ้าต่อสู้ทุกคนที่ไม่ช่วยกันรักษาความยุติธรรม แม้แต่ขุนศรีฯ อดีตปลัดอำเภอที่เรืองนามว่าเป็นนักกฎหมายและเรืองด้วยอิทธิพล ข้าพเจ้าก็ส่งขึ้นศาลเพื่อพิสูจน์ความผิดของเขาและในที่สุดข้าพเจ้าก็เข้า “ต่อสู้” กับข้าหลวงประจำจังหวัด นี่และเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าพลุ่งเข้าสู่กองตำรวจสันติบาล
ข้าพเจ้าไม่อยากที่จะเอ่ยนามท่านข้าหลวงประจำจังหวัดคนนั้น เพราะมันเป็นความหลังที่ข้าพเจ้าได้อโหสิให้แล้วเมื่อครั้งข้าพเจ้าได้ก้าวเข้าสู่พุทธอาณาจักรเมื่อปีที่แล้ว (เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐)ปัจจุบันนี้ท่านก็เป็นหลานเขยของรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่ประชาชนเบือนหน้าหนี แม้กระนั้นเขาก็กล้าสมัครเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร และในที่สุดคะแนนในการเลือกตั้งของพณฯก็มาอย่างสูงลิบ เป็นที่แปลกประหลาดจากหน่วยลงคะแนนที่อำเภอดุสิต
ข้าพเจ้าได้เข้าเผชิญหน้าท่านข้าหลวงประจำจังหวัดอย่างถึงใจเพราะท่านชอบสอดแทรกเข้ามาไกล่เกลี่ยรูปคดีที่นายทหารเป็นผู้ต้องหาทั้งๆที่มันเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ซึ่งจะยอมความกันไม่ได้ การกระทำของข้าหลวงประจำจังหวัดนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการประจบประแจงและเอาใจ “ทหาร” เนื่องจากเห็นว่าทหารนั้นเป็นผู้ทรงด้วยอำนาจ แม้ว่านายทหารนั้นจะมียศเพียง “ร้อยโท” ก็ตาม แต่ก็เป็นลูกศิษย์ของผู้ที่ยิ่งใหญ่อาจจะบรรดาลให้คุณและให้โทษได้
ข้าพเจ้าได้ทำการขัดขวางการกระทำที่ไม่ชอบของข้าหลวงประจำจังหวัดโดยเอาตำแหน่งของข้าพเจ้าเป็นเดิมพัน ซึ่งพร้อมแล้วที่จะออกจากราชการ ทั้งนี้เพื่อเกียรติของราษฎรชาวอีสานและต่อต้านการกดขี่อันไม่เป็นธรรมนั้น
No comments:
Post a Comment