Tuesday, March 11, 2008

บทความที่๓๕๓.บันทึกของเนห์รู-อดีตที่สัมพันธ์กับปัจจุบัน

บันทึกของเนห์รู
(เรียบเรียงจาก The Discovery of India ของยวาหระลาล เนห์รู , กรุณา กุศลาสัย แปล)
ที่คุมขังป้อมอะหะหมัดนคร ค.ศ. ๑๙๔๔
๔. อดีตในส่วนที่สัมพันธ์กับปัจจุบัน

แม้ชีวิตในเรือนจำของข้าพเจ้า ซึ่งดูคล้ายกับปราศจากการกระทำใดๆ เลย ก็ถูกนำไปสัมพันธ์กับการกระทำที่จะเกิดหรือที่อยู่ในมโนภาพโดยกระบวนการของความคิดนึกและความรู้สึกอันเป็นปัจจัยช่วยสร้างเนื้อหาสาระให้เกิดแก่ข้าพเจ้าได้บ้าง มิฉะนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็คงจะมีแต่ความว่างเปล่า เหลือที่จะทนทานมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

เมื่อใดที่ข้าพเจ้าหมดโอกาสที่จะมีการกระทำใดๆ ได้ เมื่อนั้นข้าพเจ้าชอบที่จะหาทางออกไปสู่อดีตและประวัติศาสตร์ เนื่องจากประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้ามักจะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และเนื่องจากบางครั้งข้าพเจ้าเองก็ได้มีบทบาทบ้างในเหตุการณ์เหล่านี้ เท่าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวของข้าพเจ้า จึงเป็นการไม่สู้ยากนักที่ข้าพเจ้าจะมองดูประวัติศาสตร์ในรูปของขบวนการที่มีชีวิตชีวา ซึ่งข้าพเจ้าเองก็มีบทบาทร่วมอยู่ด้วยพอสมควร

ข้าพเจ้าเริ่มศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ช้าไป และมิหนำซ้ำ มิได้ศึกษาโดยผ่านวิถีทางธรรมดา อันได้แก่การศึกษาข้อเท็จจริงอีกทั้งวันเวลาแห่งเหตุการณ์ แล้วสรุปความเห็นและข้ออนุมานเอา โดยไม่เกี่ยวข้องกับวิถีทางแห่งชีวิตตนเองเลย ตราบใดที่ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ ประวัติศาสตร์จะมีความสำคัญแก่ข้าพเจ้าน้อยนัก..วิทยาศาสตร์และปัญหาของโลกปัจจุบันและของชีวิตนี้เป็นเรื่องที่มีความดึงดูดแก่ข้าพเจ้ามากกว่า

การผสมผสานกันระหว่างความนึกคิด อารมณ์ อีกทั้งแรงกระตุ้นเตือนซึ่งข้าพเจ้าเองก็รู้สึกแต่เพียงลางๆ นั่นแหละเป็นเหตุชักนำข้าพเจ้าให้ไปสู่การกระทำ และการกระทำก็ส่งข้าพเจ้ากลับคืนไปสู่ความคิดและความปรารถนาที่จะเข้าใจปัจจุบัน รากของปัจจุบันดั่งว่ามานี้ ฝังอยูในอดีต เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงล่องเรือแห่งการค้นพบเข้าไปสู่อดีต และตลอดเวลาข้าพเจ้าได้พยายามเสาะหาร่องรอย หากร่องรอยเช่นนี้มี เพื่อที่จะได้เข้าใจปัจจุบัน..

ความพยายามที่จะค้นพบอดีตในส่วนที่มันสัมพันธ์กับปัจจุบันเช่นนี้เอง เมื่อสิบสองปีแล้วมา ได้เป็นสาเหตุจูงใจให้ข้าพเจ้าเขียนหนังสือ “Glimpses of World History” ในรูปลักษณ์จดหมายที่เขียนถึงลูกสาว (อินทิรา คานธี) ซึ่งข้าพเจ้าเขียนอย่างผิวเผินทว่าใช้ภาษาง่ายๆ เท่าที่ข้าพเจ้าสามารถจะทำได้ เพราะข้าพเจ้ากำลังเขียนถึงเด็กหญิงซึ่งอยูในวัย ๑๕-๑๖ ปี แต่เบื้องหลังของการขีดเขียนครั้งนั้นก็คือการดั้นด้นค้นหาความจริงในประวัติศาสตร์ ความรู้สึกทำนองผจญภัยได้เข้าครอบงำข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้มีชีวิตอยู่ในนานายุคสมัยอย่างติดต่อสืบเนื่องกัน มีมิตรสหายซึ่งเป็นชายและหญิงซึ่งล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในโลกนานมาแล้วทั้งสิ้น

ในครั้งกระนั้น ข้าพเจ้ามีเวลาว่างอย่างเหลือเฟือในเรือนจำ ไม่มีความรู้สึกว่า จะต้องรีบร้อนหรือทำอะไรให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงปล่อยให้ใจท่องเที่ยวไป จะหยุดพักที่ไหนบ้างก็ได้ตามแต่จะเป็นที่สบอารมณ์ของข้าพเจ้าเอง ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสรับสิ่งประทับใจ และคอยตกแต่งโครงร่างอันเหี่ยวแห้งแห่งอดีต ให้สมบูรณ์ด้วยเนื้อ หนัง และโลหิต

ความพยายามที่จะค้นพบเช่นเดียวกันนี้เอง แม้ว่าจะจำกัดอยู่กับบุคคลและกาลเวลาอันใกล้ชิดสนิทกว่า ที่เป็นสาเหตุให้ข้าพเจ้าเขียนอัตตชีวประวัติของข้าพเจ้าในเวลาต่อมา

ข้าพเจ้าเข้าใจว่าข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปมากในระยะเวลาสิบสองปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าชอบคิดชอบใคร่ครวญมากขึ้น และบางทีก็อาจจะมีสติสัมปชัญญะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย นอกจากนี้ก็อาจเกิดอุเบกขาธรรมพร้อมทั้งความสงบทางจิตใจมากขึ้นบ้าง

เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะรู้สึกพ่ายแพ้แก่โศกนาฎกรรมหรือแก่สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นโศกนาฏกรรมมากเหมือนเมื่อก่อน ความโกลาหลวุ่นวายก็ดูจะมีมีน้อยและไม่ยั่งยืนเหมือนแต่ก่อน ทั้งๆ ที่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนั้นมีปริมาณและขอบเขตกว้างขวางกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจว่า นี่เป็นการเติบโตของความรู้สึกทอดอาลัยหรือ? หรือว่าเป็นความแข็งแกร่งของเนื้อหนังและจิตใจมากยิ่งขึ้น? หรือเป็นเพียงชราภาพที่กำลังวังชาตลอดจนความเร่าร้อนของชีวิตย่อมลดน้อยถอยลงตามธรรมชาติ? หรือว่าเป็นผลจากการที่ต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกตะรางเสียเป็นเวลานาน ยังชีวิตให้ค่อยๆเสื่อมสาระลง ตลอดจนทำให้ความคิดนึกซึ่งเคยเพียบพร้อมอยู่ในสมองต้องล่องลอยไป หลังจากที่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย จะมีก็แต่รอยกระเพื่อมเหลือไว้เบื้องหลัง?..

No comments: