Wednesday, March 26, 2008

บทความที่๓๗๗.ภารกิจเสรีไทย (๖)

ภารกิจเสรีไทย
จากบันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันทน์ (ชัยสงค์)
เมื่อรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ข้าพเจ้ารีบไปที่บ้านของ “เชื้อ” ที่สีลมแต่เช้า เมื่อเมื่อคืนนี้นอนคิดอยู่จนดึกว่า “หัวหน้าใหญ่” นั้นจะเป็นใคร และรู้สึกว่าอะไรมันก็ช่างลึกลับซับซ้อนไปเสียทุกอย่าง แม้แต่ ร.ต.อ.เชื้อ สุวรรณศร ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันขนาด “เพื่อนตาย” ก็ไม่เคยแย้มพรายอะไรแก่ข้าพเจ้ามาแต่ก่อนเลย พอเริ่มแย้มพรายก็เป็นกิจลักษณะขึ้นมาทีเดียว และไม่สามารถจะเดาเรื่องราวอะไรได้ทั้งสิ้นแม้แต่เงาของมันก็รู้สึกว่าสลัวและซับซ้อนเกิดกว่าที่จะเดา

เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปในกำแพงบ้านของเขานั้น เพื่อนของข้าพเจ้ากำลังจะลงมืออาหารเช้า เพราะเพิ่งจะพ้น ๗.๐๐ น.ไปหยกๆนี่เอง เขาทักทายข้าพเจ้าอย่างดุๆว่า

“แหม แหกตามาแต่เช้าทีเดียว”

ข้าพเจ้าไม่ตอบอะไรในปัญหาที่เขาเอ่ย ได้แต่ทำไถลไปว่า

“มากินข้าวด้วย”

พร้อมทั้งคำพูด ข้าพเจ้าเอื้อมไปดึงจานข้าวต้มหมูของเขาที่กำลังตักใส่จานใหม่ๆ และไม่ฟังเสียงอะไร นอกจากทำหน้าที่กินทันที เขาหัวเราะเมื่อเห็นอาการทำไถล เขาหันไปตักข้าวต้มจานใหม่แล้วก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ควักเอาธนบัตรปึกหนึ่งส่งให้ข้าพเจ้าแล้วก็กล่าวว่า

“เอ้า นี่เงินราชการลับเป็นค่าใช้จ่ายของลื้อและชม ท่านอธิบดีสั่งจ่ายให้ลื้อ ๑,๖๐๐ บาท และให้ชม ๖๐๐ บาท แล้วก็ลงชื่อรับเงินเสียด้วย”

พร้อมกันเขาส่งใบเสร็จรับเงินราชการลับมาให้ข้าพเจ้าลงนาม เมื่อได้ลงนามเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งใบเสร็จนั้นกลับคืนไปและไม่ลืมเอาเงินนั้นใส่กระเป๋าเสียด้วย ข้าพเจ้าจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเบาๆ ว่า

“ถ้ามีความจำเป็นจะต้องใช้เงินพิเศษแล้วจะเบิกได้ไหม?”

“เรื่องเงินนั้นไม่มีปัญหาอะไร ลื้อก็เคาะวิทยุรายงานเข้ามากรุงเทพฯ ว่าต้องการอะไร จะเอาไปใช้เรื่องอะไร เท่านั้นก็จะมีคนเอาเงินส่งไปถึงปากลื้อ” แล้วเขาก็หัวเราะแหะๆ

“อ้าว วิทยุนั่นไม่ได้เคาะไปเมืองนอกหรือ?”

“เซ่อไปได้ มันส่งไปได้ทั้งนั้นไม่ว่าในประเทศหรือนอกประเทศ” เขาอธิบายทำให้ข้าพเจ้าต้องครางออกมาเบาๆว่า

“ยังงั้นเรอะ ไม่รู้นี่หว่า”

เขาหัวเราะอย่างชื่นใจหลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับสารภาพถึงความเซ่อแล้ว เขาก็หันมาตักข้าวต้มหมูทรงเครื่องให้อีก เราได้คุยกันในเรื่องเบ็ดเตล็ดปลีกย่อยอีกไม่น้อย ซึ่งมองเห็นเค้าของการทำงาน ในที่สุดเขาก็เย้าข้าพเจ้าว่า

“ถ้าอ้ายยุ่นมันจับได้ ลื้อจะทำอย่างไร?”

ข้าพเจ้าหัวเราะร่วนบ้างและคุยสำทับลงไปทีเดียวว่า

“อ้ายยุ่นจะไม่มีวันจับอั๊วได้อย่างเด็ดขาด ขอให้ลื้อจงไว้ใจไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าจับได้ต้องไม่ใช่อั๊ว..”

เขาตัดคำที่ทรนงของข้าพเจ้าอย่างเร็วว่า
“...ลื้อต้องระวังให้มาก เพราะที่ชุมพรนั้นมีทหารญี่ปุ่นอยู่หนึ่งกองพลใหญ่ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ คน วางกำลังเรียงรายไปตามถนนสายชุมพร กระบุรี ซึ่งเป็นคอคอดกระส่วนที่แคบที่สุดราว ๖๐ ไมล์เท่านั้น ลื้อจะต้องตกไปอยู่ท่ามกลางญี่ปุ่น ๑๐,๐๐๐ คนนี้ จงทำงานด้วยความรอบคอบ หากพลาดนิดเดียวเท่านั้นเป็นจบเลย โดยเฉพาะกองพลนี้มีฉายาว่า “กองพลทหารเสือ” เพราะเป็นกองพลของ “ยามาชิตะ” ซึ่งโจมตีและยึดสิงคโปร์ได้ เมื่อเขามีชัยที่สิงคโปร์แล้วก็ถอนตัวมาอยู่ที่คอคอดกระนี้ เพราะที่นั่นเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากที่สุดในการยกพลขึ้นบก ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการยกพลขึ้นบกที่นี่เพราะจะได้ตัดกำลังของญี่ปุ่นให้ขาดออกไปเป็นสองส่วน แล้วเขาก็จะได้ขยี้ทีละส่วน”

ข้าพเจ้าฟังเพื่อนรักสาธยายเหตุการณ์ที่ชุมพรอย่างเคร่าๆ ด้วยอาการที่รู้สึกว่าคึกคักกว่าทุกวัน เพราะบัดนี้ข้าพเจ้ากำลังจะก้าวไปสู่เวทีแห่งการต่อสู้แล้ว จริงอย่างที่เพื่อนรักของข้าพเจ้ากล่าวอย่างแน่นอน หากว่าข้าพเจ้าปฏิบัติงานพลาดไปนิดเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าจะต้องตกอยู่ในสภาพที่ “แย่” จริงๆ เขาแสดงอาการขึงขังอย่างไม่สร่างซา ฟังเขาเล่าต่อไป

“ด้วยเหตุนี้อั๊วจึงเสนอความเห็นว่า จะต้องเอาลื้อไปที่ชุมพร ให้คนอื่นไปอาจจะพลาดพลั้งได้ เรื่องที่สำคัญก็คือว่า มีหน่วย “แคมเป้” (เคมเปไต)ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ชุมพร หัวหน้าหน่วยคือนายร้อยเอก เมลี่... ระวังให้ดีหน่อยเพราะที่นี่มันมีเครื่องจับวิทยุเถื่อนด้วย...”

“ว้า.. ..” ข้าพเจ้าร้องลั่น

เขาหันมามองข้าพเจ้าอย่างพรั่นพรึงเมื่อกล่าวถึงว่ามีเครื่องจับวิทยุเถื่อนด้วย ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่าการต่อสู้ของข้าพเจ้าที่จะเริ่มต้นในอนาคตอันสั้นข้างหน้านี้ จำเป็นจะต้องเข้มแข็งเสียแล้ว แววตาของเพื่อนรักมีประกายแห่งความห่วงใยและวิตกกังวล ข้าพเจ้าจึงได้กลบความวิตกกังวลนั้นการคุยเขื่องของข้าพเจ้าขึ้นว่า

“ลื้อเคยเห็นอั๊วทำงานที่ไหนพลาดมาแล้วมีบ้างไหม?”

เขาไม่ตอบได้แต่ยิ้มเล็กน้อยในคำอ้างเป็นทำนองโม้ของข้าพเจ้า จึงได้สำทับต่อไปว่า

“ขอให้ลื้อมีความมั่นใจในการทำงานของอั๊ว ยิ่งอันตรายมากเท่าใดก็ยิ่งสนุกมากเท่านั้น ม่ายงั้นงานของเราก็ไม่มีรสชาติอะไร”

อาการของเขาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นห่วงข้าพเจ้า เพราะสภาพงานของข้าพเจ้านั้นล่อแหลมยิ่งไปกว่าของใครๆ เขารวบช้อนส้อมทั้งๆที่เขากินข้าวต้มไปไม่ถึงครึ่งชาม แล้วก็ดื่มกาแฟร้อนตามไปอีกถ้วยหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้ารวบช้อนบ้าง เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า

“ไปกันดีกว่า.. ..”

“ไปไหน?”

“ท่าช้าง”

“ก็ไหนว่าวันนี้จะพาไปหา ‘หัวหน้าใหญ่’ ไงล่ะ”

“ก็พาไปน่ะซิ อยู่ที่ท่าช้างไงล่ะ...”

“ใคร?”

เขาหันมายิ้มกับข้าพเจ้าอย่างระรื่นก่อนตอบว่า

“ท่านปรีดี พนมยงค์”

ข้าพเจ้าเบิกตาลุกโพลง และขัดขึ้นทันทีว่า

“เอ๊ะ ก็ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินนี่นะ แล้วก็ไม่ได้เป็นทหารด้วย จะเป็นหัวหน้ารบญี่ปุ่นได้ยังไง?”

“เซ่ออีกแล้ว เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้วสั่งรบไม่ได้ยังงั้นรึ..? เป็นพลเรือนรบไม่เป็นยังงั้นรึ?” ท่านเป็นหัวหน้าก็เป็นผู้วางนโยบายทางการเมือง และวางแผนทางยุทธศาสตร์ ส่วนทางเทคนิคของการรบนั้นท่านไม่ใช่เป็นคนจับปืนเหนี่ยวไกเอง อ้ายพวกรบนั้นมีเยอะแยะไป อย่างอั๊วอย่างลื้อใช้ได้ทั้งนั้น พวกที่ไปอบรมจากต่างประเทศก็กลับมาเยอะแยะแล้ว ทหารก็เข้ามาร่วม เสนาธิการก็มี ก็วางแผนในทางยุทธวิธีไปไม่ต้องห่วงอะไร ขอให้ลื้อเป็นห่วงในงานของลื้อเองก็แล้วกัน”

No comments: