Thursday, March 29, 2007

บทความที่ ๑๐๐. วาระสุดท้ายเผด็จการมุสโสลินี (ตอนที่๒)

ในตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น มุสโสลินีเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้า วิกตอริโอ เอมมานูเอลที่ ๓ ณ พระราชวัง วิลลาซาวอย ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงโรมไปประมาณ ๒ ไมล์ ในเวลานั้น ความเข้มแข็งและทิฏฐิมานะของจอมเผด็จการได้กลับคืนมาอีกครั้ง ท่านดูเช่ปราศจากความรู้สึกเกรงกลัวต่อสิ่งใด เขากล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า “พระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนับสนุนอย่างแข็งแรงต่อผมตลอดเวลา” นอกจากนั้นเขายังได้ปฏิเสธที่จะอนุมัติให้มีการจับกุมบุคคลซึ่งต่อต้านเขา เขากล่าวว่า

“มติของสภาบริหารไม่มีความหมายอะไร สภาบริหารมีหน้าที่เพียงให้คำปรึกษาเท่านั้น ผมได้ทบทวนกฎหมายดูแล้ว”

ในทางทฤษฎีแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะถอดถอนมุสโสลินีได้เช่นเดียวกับสภาบริหาร หากแต่ทว่าพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะได้เห็นพระราชวังซาวอยซึ่งสืบเนื่องกันมา ๑,๐๐๐ ปีแล้ว ให้สถิตสถาพรต่อไป จึงได้ทรงสนับสนุนให้บุคคลผู้นั้นอยู่ในอำนาจตลอดไป “ฉันเอาด้วยกับมุสโสลินี” เคยมีพระราชดำรัสเช่นนั้น “เพราะไมว่าเขาจะผิดหรือถูกก็ตาม คน ๆนี้เป็นคนโชคดีเสมอไป”

เพื่อแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าเขามีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มุสโสลินีได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง เพื่อนำกฏหมายขึ้นทูลเกล้าถวายให้ลงพระปรมาภิไธย แต่โดยทางส่วนตัวแล้วมุสโสลินีมองเห็น วิกตอริโอ เอมมานูเอลที่ ๓ เป็นบุคคลที่อ่อนแอและไร้สติปัญญา

โดยปกติแล้วพระเจ้าอยู่หัววิคตอริโอ เอมมานูเอลประทับอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ติดต่อกับผู้ใด ณ พระราชวังนอกกรุงโรม ต่อมาเมื่อกรุงโรมถูกทิ้งระเบิดครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๘๖ นั้น พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ซึ่งอยู่ในพระมหานครและในโอกาสนั้นเอง พระองค์ได้ทรงประสบกับปฏิกิริยาอันไม่เป็นมิตรจากประชาชนผู้ซึ่งได้รับความเสียหายและอันตรายจากการทิ้งระเบิด พระองค์ก็ทรงตระหนักพระราชหทัย ณ บัดนี้ว่าจะทรงเก็บเอามุสโสลินีไว้ในอำนาจอีกมิได้แล้ว

เมื่อรถยนต์ประจำตำแหน่งของมุสโสลินีแล่นมาถึงประตูพระราชวัง รถตำรวจสันติบาลซึ่งติดตามอารักขาท่านผู้นำก็หยุดอยู่ภายนอกเช่นเคย มีเพียงรถของท่านผู้นำคันเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ผ่านประตูพระราชวังเข้าไปได้

ลึกเข้าไปในบริเวณพระราชวังประมาณครึ่งกิโลเมตร ในตอนทิศเหนือของพระราชวังนั้น ผู้บังคับกองตำรวจวัง ปาโอโล วิกเนรี่ ได้ให้อาณัติสัญญาณแก่กำลังตำรวจ ๕๐ นายใต้บังคับบัญชาของเขา ตำรวจนอกเครื่องแบบอีก ๓ นายตลอดจนรถพยาบาลของสภากาชาด ซึ่งทั้งหมดนี้ซุ่มซ่อนอยู่อยู่ในสภาพที่พร้อมตลอดเวลา

เมื่อได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ ท่านผู้นำก็ได้กราบบังคมทูลเป็นการเริ่มเรื่องว่า “ใต้ฝ่าพระบาทคงจะได้ทรงทราบถึงเรื่องเหลวไหลเมื่อคืนนี้แล้ว” วิคตอริโอ เอมมานูเอลที่ ๓ มีรับสั่งสวนขึ้นว่า “ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล” จากนั้นพระมหากษัตริย์วัย ๗๓ ก็ทรงลุกขึ้นเด็จพระราชดำเนินด้วยพระหัตถ์ไขว้หลังไปมาในห้อง

“ไม่จำเป็นเลย” มีรับสั่งกับมุสโสลินี เมื่อทรงเห็นอีกฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะถวายเอกสารให้ทอดพระเนตร “ฉันรับรู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว”

“ขอเดชะพระบารมีปกเกล้า” มุสโสลินีกราบบังคมทูล “มติของสภาบริหารไม่มีความหมายอย่างใดเลย พระเจ้าข้า”

พระเจ้าวิกตอริโอ เอมมานูเอลที่ ๓ มีรับสั่งว่าพระองค์มิได้ทรงเห็นด้วยกับความเห็นของท่านดูเช่ “เธอไม่คิดบ้างหรือว่ามติของสภาบริหารนั้น แสดงออกมาซึ่งความรู้สึกของประชาชาติเกี่ยวกับตัวเธอ ขณะนี้เธอเป็นบุคคลซึ่งได้รับความเกลียดชังที่สุดในอิตาลีแล้ว เธอพึ่งผู้ใดไม่ได้เลยนอกจากฉันคนเดียวเท่านั้น”

มุสโสลินี ตกตะลึง !!!

“ถ้าแม้นพระราชกระแสเป็นการถูกต้องแล้ว” เขากราบบังคมทูลด้วยความยากลำบาก “ข้าพระพุทธ เจ้าก็จะกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง”

“เช่นนั้นฉันก็ขอบอกกับเธอ” พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งตอบ “ว่าฉันรับใบลาออกของเธออย่างไม่มีเงื่อนไข”

เสมือนถูกลูกระเบิดอย่างถนัดถนี่ จอมเผด็จการทรุดตัวลงกับเก้าอี้แล้วกล่าวแทบเป็นเสียงกระซิบ “จบกันแค่นี้เอง”

เมื่อมุสโสลินีและเลขานุการของเขาเดินลงจากอัฒจันทร์ของพระตำหนัก เพื่อตรงไปขึ้นรถประจำตำแหน่ง ร้อยตำรวจเอก ปาโอโล วิกเนรี่ ซึ่งคอยท่าอยู่แล้วก็เข้าประชิดตัวและแจ้งต่อท่านผู้นำว่า “พระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้ผมอารักขาตัวท่านนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

มุสโสลินีหันไปมองหน้าวิกเนรี่แล้วกล่าวปฏิเสธว่า “ผมไม่ต้องการ การอารักขา”

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มุสโสลินีจะเดินไปถึงรถประจำตำแหน่งของเขา วิกเนรี่และเจ้าหน้าที่ตำรวจของเขาก็ได้ขวางกั้นเอาไว้แล้ว และใช้กำลังบังคับให้ท่านดูเช่ขึ้นรถพยาบาล ซึ่งนำมาจอดอยู่ใกล้ ๆ นั้นแทน

อีกไม่กี่นาทีต่อมา รถพยาบาลของสภากาชาดก็ได้แล่นผ่านประตูพระราชวังออกไป และมุ่งไปสู่ที่ตั้งของกรมทหาร ปอตโกรา คาราบิเนียรี่ ซึ่งล้อมรอบด้วยรั้วเหล็ก ณ ที่นั้นมุสโสลินีได้ถูกพาตัวเข้าไปในห้องโถง ซึ่งเขามิได้ขัดขวางแต่ประการใด แต่เลขานุการซึ่งติดตามไปด้วยได้ร้องถามขึ้นว่า “อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากท่านผู้นำจะออกไปจากที่นี้”

“ท่านดูเช่จะไปไหนไม่ได้” เป็นตำตอบจากร้อยตำรวจเอก วิกเนรี่

“โทรศัพท์ได้ไหม ? “ เลขานุการท่านผู้นำร้องถามต่อ

วิกเนรี่สั่นศรีษะ และในอึดใจต่อมาก็มีทหารเข้ามาทำการตัดสายโทรศัพท์ซึ่งอยู่ภายในห้องโถง

ณ เวลาเกือบ ๕ ทุ่มของคืนวันเดียวกันนั้น วิทยุกระจายเสียงก็ได้ออกข่าวเป็นทางราชการว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับใบลาออกจากตำแหน่งของ เบนิโต มุสโสลินี แล้ว และมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้จอมพล ปิตโตร บาโด กลิโอ อดีตแม่ทัพอิตาลีผู้พิชิตเอธิโอเปีย เข้ารับตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลสืบต่อไป”

No comments: