จักไม่วิงวอนร้องขอ
ภายหลังเหตุการณ์วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ แม้ว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฐานอำนาจทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างและระบบให้ก้าวหน้าขึ้น เพียงแต่มีบุคคลใหม่ขึ้นมาปกครองแทนคนเดิมที่ถูกขับไล่ลงเวทีไป
การเคลื่อนไหวของพลังนักศึกษา-ประชาชนในครั้งนั้นเป็นการระเบิดความเคียดแค้นที่พวกเขาถูกบีบคั้นจากกลุ่มผู้ใช้อาวุธที่เข่นฆ่า สังหาร อย่างโหดร้าย ป่าเถื่อน ให้พวกเขาต้องตอบโต้ด้วยความรุนแรง แต่พลังนักศึกษา-ประชาชนในคราวนั้นมิได้มีความมุ่งหมายทางการเมืองที่จะยึดครองอำนาจและกำหนดนโยบายว่าจะดำเนินการไปในรูปใด
การเรียกร้องความยุติธรรมและรัฐธรรมนูญในคราวนั้นแม้ว่ามวลชนจะได้มีบทบาท แต่ก็ยังไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญที่จะได้มานั้นจะเป็นไปในลักษณะใด แต่ที่แน่นอนคือพวกเขาต้องการโค่นล้มอำนาจของรัฐบาลเผด็จการโดยใช้พลังการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้แม้ว่าภายหลังการจราจลจะยุติลงและได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้ปกครองแล้ว แต่กลุ่มผู้นำที่ขึ้นมาแทนไม่ว่าจะเป็นคณะรัฐมนตรีหรือสภานิติบัญญัติ ก็ยังเป็นกลุ่มโครงสร้างเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับข้าราชการประจำจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ชาวบ้านก็ยังต้องพินอบพิเทาเคารพยำเกรงนายอำเภอคนเดิม นายตำรวจคนเดิม ส่วนนายอำเภอและนายตำรวจเหล่านั้นก็ยังคอยรับคำสั่งจากเจ้ากระทรวงเดิมต่อไป
นโยบายของรัฐบาลใหม่ที่ขึ้นมาแทน ก็ไม่ได้เป็นเพื่อสร้างความเท่าเทียม-ความยุติธรรมแก่ประชาชน เพราะรัฐบาลใหม่ที่ได้มาก็ทำหน้าที่เพียงรักษาระบบเก่าไว้ รักษาผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยที่มีอำนาจต่อรองผลประโยชน์ เอื้อผลประโยชน์ให้แก่นายทหารชั้นสูง ชนชั้นสูง ดังนี้แล้วรัฐบาลใหม่ที่เถลิงอำนาจจึงเป็นเพียงกลุ่มตัวแทนของชนอภิสิทธิ์ชน โดยอภิสิทธิ์ชน และเพื่ออภิสิทธิ์ชนเท่านั้น
จนเมื่อเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ ระเบิดขึ้น ซึ่งแม้ว่าประชาชนจำนวนมากจะได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยโดยการเดินขบวนและกลุ่มทหารก็ควงอาวุธเข้าเข่นฆ่า ทำร้ายประชาชนเหมือนเมื่อ ๑๖ ปีก่อนหน้านั้น แต่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนต้องการเพียงโค่นล้มกลุ่มทหารเผด็จการ รสช.ที่ยึดอำนาจไปจากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณซึ่งเป็นรัฐบาลตัวแทนของอภิสิทธิ์ชนสืบต่อจากรัฐบาลเผด็จการของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
แต่ในคราวนี้เมื่อประชาชนได้ชัยชนะกลับมาจากการล้มตายเป็นจำนวนหลายร้อยสูญหายนับพันคน พวกเขาได้ข้อต่อรองเชิงร้องขอให้รัฐบาลชั่วคราวที่ขึ้นมาขัดตาทัพ คือรัฐบาลชุดผู้ดีรัตนโกสินทร์ ที่บรรดานักข่าวสื่อมวลชนสมัยนั้นรู้สึกภูมิอกภูมิใจ ปลื้มอกปลื้มใจกับความเป็นชนชั้นสูง มาดผู้ดีของนายกพระราชทานท่านนั้น ทั้งๆที่นายกคนนั้นแท้จริงแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากนายกคนอื่นในช่วงเวลาที่ผ่านมาหลัง พ.ศ. ๒๔๙๐ เลย คือรักษาผลประโยชน์ให้แก่คนส่วนน้อยในประเทศเอาเปรียบมวลชนส่วนใหญ่โดยใช้รัฐธรรมนูญพิการหลายฉบับบังหน้าไว้ภายใต้ตัวอักษรว่า “อำนาจประชาธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย” ประโยคนี้ย่อมแตกต่างแน่นอนจากประโยคว่า “อำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ชาวนาปลูกข้าวในที่ดินของนายทุนผู้ให้เช่า ข้าวที่ได้มาจากชาวนาแต่ไม่ใช่ของชาวนาฉันใด อำนาจที่มาจากแต่ไม่ใช่เป็นของประชาชน ก็สั่นคลอนง่อนแง่ ครั้งแล้วครั้งเล่ากับรัฐบาลจอมปลอมคณะแล้วคณะเล่าที่เดินตามรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่พิกลพิการ(โดยจงใจของกลุ่มอำนาจ)
กว่า ๕ ปีที่ประชาชนเฝ้าวิงวอนขอความเมตตาให้ทุกๆรัฐบาลที่ขึ้นมาเถลิงอำนาจหลัง พฤษภา ๓๕ ว่าได้โปรดมอบรัฐธรรมนูญที่แสนดีให้แก่พวกเราเถิด –พวกเราขอวิงวอน. นั่นเป็นอีกครั้งที่ประชาชนไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่ายอมให้กลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐ ผู้กุมอาวุธจากเงินภาษีอากรของประชาชนซึ่งไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยแต่มีไว้เพื่อเข่นฆ่าผู้เรียกร้องประชาธิปไตย หลอกล่อต่อรองให้ตายใจ แต่ในที่สุดก็ไม่อาจฝืนต่อกระแสมวลชนที่เข้มแข็งขึ้นจำต้องมอบรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ ให้ แต่กลุ่มซากเดนอำนาจเก่าที่ตั้งเป็นพรรคการเมือง เชื่อมั่นว่ากลุ่มของตนจะได้กลับมาเถลิงอำนาจเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญ ๔๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ แต่การณ์ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เชื่อมั่นเช่นนั้น เพราะมีพรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้าการเลือกตั้งไม่นาน สามารถครองใจประชาชนโดยใช้นโยบายที่ไม่เคยมีพรรคการเมืองใดกล้าแม้แต่จะคิด แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ พรรคการเมืองนี้สามารถทำได้อย่างที่หาเสียงในหลายนโยบาย
แต่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่พรรคการเมืองนี้ได้ฉันทามติจากมวลชนส่วนใหญ่ของประเทศให้มาจัดการแก้ไขปัญหาของชาติเป็นครั้งที่สองด้วยคะแนนท่วมท้นถล่มทลาย ให้ขับเคลื่อน-เปลี่ยนแปลงสังคมที่พิกลพิการให้ก้าวหน้าขึ้น ตัวผู้นำพรรคได้ตระหนักถึงความจริงว่าต้นตอปัญหาของชาติมันใหญ่เกินกว่าที่เขาจะคิดถึง(พิสูจน์ได้ว่าการที่ผู้นำพรรคท่านนี้ถูกโค่นล้มโดยคณะทหารผู้ทำรัฐประหารเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นการประเมินต้นตอของปัญหาที่ขวางทางความเจริญของประเทศต่ำเกินไป)
จากบทเรียน ๓ ครั้งที่ประชาชนล้มตายเพื่ออำนาจของพวกเขาในช่วงเวลา ๓๔ ปีที่ผ่าน เป็น ๓๔ปีที่ถูกผู้มีอำนาจ มีอาวุธ หลอกล่อ หลอกลวงให้เดินวกวนในเกมผลประโยชน์ครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้ประชาชนจะไม่ลุกขึ้นเพื่อการร้องขอ-เรียกร้องอำนาจของพวกเขาคืน พวกเราจะไม่วิงวอนขอร้อง แต่ครั้งนี้จะเป็นการลุกขึ้นเพื่อทวงสิทธิ-อำนาจของประชาชนคืนมาจากอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ !!!
No comments:
Post a Comment