วาระสุดท้ายเผด็จการมุสโสลินี
ทั่วทั้งกรุงโรมในคืนวันนั้นประชาชนชาวอิตาเลียนได้แสดงความปิติยินดีกันทั่วหน้า ประชาชนจำนวนมากได้ออกมาสู่ท้องถนน กอดรัดกันและกัน ทั้งหัวเราะและร้องไห้ด้วยความปิติตื้นตันใจ
“คุณรู้ไหมว่าบัดนี้ไม่ใช่มุสโสลินีแล้ว แต่เป็นบาโดกลิโอ” ทหารรักษาการณ์นายหนึ่ง กล่าวกับนักโทษการเมือง “คุณทราบดีว่าผมไม่เคยเป็นพวกฟาสซิสต์เลย”
เปรียบเสมือนว่า พลังอันเกรียงไกรของพวกเชิร์ตดำพรรคฟาสซิสต์ได้สลายตัวจากอิตาลีไปในพริบตา สถานที่ทำงานของพรรคฟาสซิสต์ ถูกทำลายลงโดยฝูงชน และรูปถ่ายรูปเขียนของมุสโสลินีถูกขยี้ทิ้งเกลื่อนกลาด เหล่านี้เป็นบางสิ่งที่ประชาชนไม่กล้ากระทำมาเป็นเวลาถึง ๒๐ ปี
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ข่าวการพ้นตำแหน่งของมุสโสลินีมาถึงกองบัญชาการทัพของนายพลดไว๊ท์ ดี ไอเซนฮาวเออร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรในอาฟริกาเหนือ ขณะนั้นไอเซนฮาวเออร์กำลังรับประทานอาหารเช้าร่วมกับนายโรเบิร์ต เมอรฟี่ ที่ปรึกษาการต่างประเทศของประธานาธิบดีโรสเวลท์และนายฮาโรลด์ แมคมิลแลนผู้แทนของนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอรชิลล์ นายพลไอเซนฮาวเออร์มีความเชื่อว่าเมื่อมุสโสลินีพ้นจากตำแหน่งแล้วเช่นนี้ อิตาลีก็คงจะถอนตัวจากสงครามโดยเร็วและอย่างมีเกียรติ
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนั้นเอง ฝ่ายเยอรมนีได้เริ่มวางแผนการชิงตัวมุสโสลินีจากที่คุมขัง เหตุผลของการวางแผนดังกล่าวนี้ คือการที่มุสโสลินีพ้นไปจากตำแหน่ง อาจมีผลทำให้ประชาชนอิตาลีถอนตัวจากความเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ในวันที่มุสโสลินีหมดอำนาจนั้นเยอรมนีมีทหารอยู่ถึง ๘ กองพลในประเทศอิตาลีและในวันต่อมาฮิตเล่อร์ก็ได้ส่งกำลังเพิ่มเติมไปสมบทอีก ๓ กองพล แต่ถึงกระนั้นในทัศนะของฮิตเล่อร์ การชิงตัวมุสโสลินีจากที่คุมขังก็เป็นสิ่งจำเป็น ฮิตเล่อร์เรียกแผนการนี้ว่า “ยุทธการอลาริค”
นายทหารนาซี ผู้รับมอบหมายโดยตรงจากท่านฟือห์เร่อร์ก็คือร้อยเอก อ๊อตโต สคอรเซนี่ ผู้มีความสูงถึง ๖ ฟิต ๔ นิ้ว น้ำหนักตัว ๒๐๐ ปอนด์ สคอรเซนี่ มีแผลเป็นที่ใบหน้า อันเนื่องจากการดวลดาบเมื่อยังเป็นนักศึกษา ตำแหน่งของเขาในขณะนั้นคือ ผู้บังคับการโรงเรียนรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นที่ฝึกอบรมสายลับของนาซีในทุก ๆ บทบาทนับตั้งแต่การป้องกันตนเอง จนถึงการก่อวินาศกรรม
ฮิตเล่อร์ แจ้งกับสคอรเซนี่ด้วยความตื้นตันใจว่า
“มุสโสลินี สหายที่ซื่อสัตย์ของผม ถูกกษัตริย์หักหลังเมื่อวานนี้และกำลังถูกควบคุมตัวอยู่ ผมจะต้องซื่อสัตย์ต่อเพื่อนของผมผู้นี้ โดยจะต้องช่วยเหลือให้เขาพ้นจากการคุมขังโดยฉับพลัน”
ร้อยเอกสคอรเซนี่ ลงมือดำเนินการทันที เขาโทรเลขและโทรศัพท์เรียกสายลับ ซึ่งเขาเคยฝึกเอาไว้มาใช้งานจำนวน ๕๐ นาย ล้วนแต่พูดภาษาอิตาเลี่ยนได้ทั้งสิ้นนอกจากนั้นเขาก็ยังขอเครื่องแบบฤดูร้อน เครื่องแต่งกายสากล อาวุธปืนและเครื่องเก็บเสียงปืน ตลอดจนแก๊สน้ำตา แก๊สหัวเราะ หน้ากากป้องกันแก๊สพิษ วัตถุระเบิดหนัก ๓๐ กิโลกรัม ธนบัตรเงินปอนด์ปลอม ๑ ปึก และเครื่องแต่งกายชุดบาทหลวง
ขณะนั้นข่าวคราวเกี่ยวกับมุสโสลินีในอิตาลี กำลังสับสนอยู่มาก ข่าวหนึ่งกล่าวว่ามุสโสลินีฆ่าตัวตายไปแล้ว อีกข่าวหนึ่งว่ากำลังพักฟื้นจากโรคหัวใจในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ขณะที่อีกข่าวหนึ่งซึ่งรายงานว่าเขาปลอมแปลงตัวอยู่ในแนวรบด้านชิชิลี
ในโอกาสวันเกิดครบ ๕ รอบของมุสโสลินีเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคมนั้น ฮิตเล่อร์ได้ส่งของขวัญไปให้โดยผ่านแม่ทัพเยอรมันภาคใต้ผู้ซึ่งได้พยายามเข้าเฝ้ากษัตริย์วิคตอริโอ เอมมานูเอลที่ ๓ และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทำให้ได้ทราบข่าวว่ามุสโสลินียังอยู่เป็นปกติดี ภายใต้การอารักขาของพระเจ้าอยู่หัว จอมพลบาโดกลิโอได้สัญญาว่าจะส่งของขวัญจากฮิตเล่อร์ไปให้มุสโสลินีตามที่ฮิตเล่อร์ขอร้อง
จนกระทั่งเดือนกันยายน ฝ่ายเยอรมันจึงได้รับทราบข่าวที่แน่นอนถึงที่คุมขังมุสโสลินี
ณ ที่ราบบนยอดเขา มองเตคอรโน ซึ่งมีความสูง ๖,๕๐๐ ฟิตนั้น มีโอเต็ลตากอากาศอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งจะขึ้นไปถึงได้วิธีเดียวคือ โดยสารรถกระเช้าแขวน ซึ่งลากขึ้นไปด้วยความสูง ๓,๐๐๐ ฟิตจากเบื้องล่าง เป็นความจริงแล้วดังที่นายทหารนาซีสคอรเซนี่คาดหมาย-อดีตผู้นำและอดีตจอมเผด็จการอิตาลีถูกคุมขังตัวอยู่ในโฮเต็ลแห่งนั้น
เมื่อทราบที่คุมขังเช่นนั้นแล้ว ฝ่ายนาซ็เริ่มลงมือปฏิบัติการโดยมิชักช้า ทหารเยอรมันได้รับรายงานว่าตำรวจคาราบิเนียริของอิตาลีขึ้น ๆ ลง ๆ ภูเขาลูกนี้โดยผ่านหมู่บ้าน แอสเซอรจิ ซึ่งอยู่ตีนเขาตรงสถานีรถกระเช้าและตลอดทางซึ่งผ่านขึ้นไปก็จะมีหน่วยตรวจค้นเรียงไปตลอด นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงแรมยังถูกปลดออกหมดโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เมื่อทราบรายงานดังกล่าวนี้แล้ว ฝ่ายเยอรมันจึงได้ส่งนายแพทย์คนหนึ่งขึ้นไปยังโฮเต็ลแห่งนั้น โดยแสร้งทำเป็นว่าต้องการสำรวจเพื่อหาสถานที่เพื่อทำเป็นสถานฟื้นฟูผู้ป่วยโรคมาลาเรีย แต่แพทย์เยอรมันผู้นั้นมิได้รับอนุญาตให้โดยสารรถกระเช้า และยังถูกขู่ว่าจะถูกจับกุมอีกด้วย ในลักษณะเช่นนี้ฝ่ายนาซีก็แก้ปัญหาไม่ตกว่าจะขึ้นไปสู่ยอดเขาดังกล่าวนั้นได้โดยวิธีใด
การจะเข้าโจมตีหมู่บ้านเพื่อยึดสถานีรถกระเช้านั้นเป็นอันว่าตัดไป เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ตำรวจอิตาลีทำลายรถกระเช้าเสีย ซึ่งเมื่อระบบรถกระเช้าเสียหาย ก็ไม่มีทางที่จะขึ้นไปยอดเขาได้ การที่จะส่งพลร่มลงไปยังโฮเต็ลก็เป็นไปไม่ได้อีก เนื่องจากลมพัดแรงมาก พลร่มจะถูกพัดไปตกยังเบื้องล่าง แทนที่จะลงยังที่ราบบนยอดเขา ดังนั้นก็เหลืออยู่วิธีเดียวคือ การใช้เครื่องร่อน แต่การใช้เครื่องร่อนก็หาใช่จะปลอดภัยไม่ หากเมื่อเหลืออยู่วิธีเดียว ฝ่ายนาซีก็จำต้องเสี่ยงปฏิบัติภารกิจ
เมื่อตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว ฝ่ายเยอรมันก็ได้สั่งเครื่องร่อนมา ๑๒ ลำและเครื่องบินลากจูงอีก ๑๒ ลำ ในเครื่องร่อนแต่ละลำบรรจุทหารนาซี ๑๐ นายพร้อมอาวุธครบมือ นอกจากนั้นยังมีเครื่องบินตรวจการขนาดเล็กอีกหนึ่งลำที่สามารถลงจอดในพื้นที่จำกัดคล้ายเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินตรวจการขนาดเล็กจะรับผู้โดยสารสำคัญลงมาจากยอดเขามองเตคอรโน
และแล้วในวันที่ ๑๒ กันยายน เครื่องบินลากจูงเครื่องร่อนก็ออกเดินทางสถานที่แห่งหนึ่งใกล้กรุงโรม เครื่องร่อนทั้ง ๑๒ ลำถูกปล่อยให้ร่อนลง ณ บริเวณใกล้กับภูเขามองเตคอรโน เมื่อเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา ร้อยเอก สคอรเซนี่หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการอยู่ในเครื่องร่อนลำที่นำหน้า จากการให้เครื่องบินบินสำรวจจุดที่จะร่อนลงที่เหมาะสม ในที่สุดก็ได้จุดที่เหมาะสมในการนำเครื่องร่อนลงจอด
ภายในห้องพักหมายเลข ๒๐๑ของโฮเต็ลรูปตัวยู ท่านดูเช่กำลังนั่งสนทนากับคนเลี้ยงแกะท้องถิ่นชื่อ อัลฟองโซ นิซี่ ที่ตำรวจส่งขึ้นมาเป็นเพื่อนสนทนาให้ท่านผู้นำเพราะในคืนก่อนหน้านั้นเมื่อได้ยินข่าวทางวิทยุว่ารัฐบาลนายกบาโด กลิโอวางแผนจะส่งตัวเขาให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร ดูเช่ได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรมโดยใช้ใบมีดโกนเฉือนข้อมือข้างซ้าย แต่ก็ไม่สำเร็จตามความมุ่งหมายเพราะตำรวจได้เข้ามาช่วยได้ทันท่วงที
อัลฟองโซ นีซี มีพื้นเพในทางทำนายโชคชะตา เขากำลังถอดไพ่ทำนายโชคชะตาให้ท่านดูเช่ว่า “จะมีคนมาช่วยท่านในวิธีที่เหลือเชื่อ”
มุสโสลินีแสดงความเกรี้ยวกราด โดยเอามือกวาดไพ่บนโต๊ะกระจาย “ไอ้ระยำ แกกำลังหลอกลวงฉันด้วยคำทำนายบ้า ๆ ของแก” เขาตวาดนีซี
ภายนอกโฮเต็ล เครื่องร่อนของสคอรเซนี่ร่อนลงได้โดยสวัสดิภาพ ห่างโฮเต็ลเพียง ๒๐ หลา ตำรวจอิตาลีตื่นตระหนกในอุบัติการนั้น คำสั่งที่เขาได้รับจากรัฐบาลคือให้สังหารมุสโสลินีทันทีที่มีผู้บุกเข้ามาชิงตัว แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลได้ลงนามในสัญญายอมจำนนต่อสัมพันธมิตรแล้ว ผู้บังคับกองรักษาการณ์ของอิตาลีก็ตัดสินใจไม่ได้ทันทีว่าเขาควรจะปฏิบัติอย่างไรกับมุสโสลินี แต่นาทีนี้เขาตัดสินใจยอมจำนวนต่อทหารนาซี
มุสโสลินี โผล่หน้ามามองทางหน้าต่างห้องพักตะโกนว่า “อย่าให้เสียเลือดเนื้อกันเลย ผมขอที”
ร้อยเอกสคอรเซนี่ เข้ามาในห้องพักเผชิญหน้ากับมุสโสลินี และนายตำรวจอิตาลี ๒ นาย “ท่านดูเช่ ท่านฟือห์เร่อร์ ส่งผมมาช่วยท่าน ท่านเป็นอิสระแล้ว” เขากล่าว
มุสโสลินีเข้าสวมกอดนายทหารนาซีอย่างดีใจ ปากพร่ำว่า “ผมรู้ดีว่า อด๊อฟ ฮิตเล่อร์ สหายรักของผมจะไม่มีวันทอดทิ้งผม”
ในขณะเดียวกันนั้น ที่เบื้องล่างของภูเขา นายทหารนาซีที่เหลือก็เข้าทำการยึดสถานีรถกระเช้าเอาไว้ ซึ่งจะทำให้ทหารเยอรมันสามารถลงมาจากยอดเขาได้โดยทางรถกระเช้า
ตามแผนเดิม สคอรเซนีจะนำมุสโสลินีมายังกรุงโรมโดยเครื่องบินแล้วจึงเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องบินทิ้งระเบิดไปสู่กรุงเวียนนา แต่เครื่องบินตรวจการที่จะมารับสคอรเซนี่เกิดความเสียหายมารับไม่ได้ตามแผน สคอรเซนี่จึงเปลี่ยนแผนพาท่านดูเช่จากโฮเต็ลบนยอดเขาไปโดยเครื่องบินตรวจการขนาดเล็กเครื่องนั้นด้วยกัน
ร้อยเอก สคอรเซนี่ประหลาดใจที่มุสโสลินีไม่ได้ตระหนกตกใจแต่ประการใด ดูเช่มองลงมาเบื้องล่างแล้วชี้ให้นายทหารนาซีดูสถานที่ต่าง ๆ “นั่นคือ อคิล่า-ผมมาปราศรัยที่นั่นเมื่อ ๒๐กว่าปีมาแล้ว”
เวลา ๑๗.๓๐ น.สคอรเซนี่ก็นำมุสโสลินีมาถึงกรุงโรม เมื่อก้าวเท้าลงจากเครื่องบินซึ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่เต็มที่ ดูเช่จับมือกับ ไฮนริช เกอรลาซ นักบินและกล่าวเป็นภาษาเยอรมันว่า “ขอบคุณมากสำหรับการช่วยชีวิตผม”
“คุณรู้ไหมว่าบัดนี้ไม่ใช่มุสโสลินีแล้ว แต่เป็นบาโดกลิโอ” ทหารรักษาการณ์นายหนึ่ง กล่าวกับนักโทษการเมือง “คุณทราบดีว่าผมไม่เคยเป็นพวกฟาสซิสต์เลย”
เปรียบเสมือนว่า พลังอันเกรียงไกรของพวกเชิร์ตดำพรรคฟาสซิสต์ได้สลายตัวจากอิตาลีไปในพริบตา สถานที่ทำงานของพรรคฟาสซิสต์ ถูกทำลายลงโดยฝูงชน และรูปถ่ายรูปเขียนของมุสโสลินีถูกขยี้ทิ้งเกลื่อนกลาด เหล่านี้เป็นบางสิ่งที่ประชาชนไม่กล้ากระทำมาเป็นเวลาถึง ๒๐ ปี
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ข่าวการพ้นตำแหน่งของมุสโสลินีมาถึงกองบัญชาการทัพของนายพลดไว๊ท์ ดี ไอเซนฮาวเออร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรในอาฟริกาเหนือ ขณะนั้นไอเซนฮาวเออร์กำลังรับประทานอาหารเช้าร่วมกับนายโรเบิร์ต เมอรฟี่ ที่ปรึกษาการต่างประเทศของประธานาธิบดีโรสเวลท์และนายฮาโรลด์ แมคมิลแลนผู้แทนของนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอรชิลล์ นายพลไอเซนฮาวเออร์มีความเชื่อว่าเมื่อมุสโสลินีพ้นจากตำแหน่งแล้วเช่นนี้ อิตาลีก็คงจะถอนตัวจากสงครามโดยเร็วและอย่างมีเกียรติ
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนั้นเอง ฝ่ายเยอรมนีได้เริ่มวางแผนการชิงตัวมุสโสลินีจากที่คุมขัง เหตุผลของการวางแผนดังกล่าวนี้ คือการที่มุสโสลินีพ้นไปจากตำแหน่ง อาจมีผลทำให้ประชาชนอิตาลีถอนตัวจากความเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ในวันที่มุสโสลินีหมดอำนาจนั้นเยอรมนีมีทหารอยู่ถึง ๘ กองพลในประเทศอิตาลีและในวันต่อมาฮิตเล่อร์ก็ได้ส่งกำลังเพิ่มเติมไปสมบทอีก ๓ กองพล แต่ถึงกระนั้นในทัศนะของฮิตเล่อร์ การชิงตัวมุสโสลินีจากที่คุมขังก็เป็นสิ่งจำเป็น ฮิตเล่อร์เรียกแผนการนี้ว่า “ยุทธการอลาริค”
นายทหารนาซี ผู้รับมอบหมายโดยตรงจากท่านฟือห์เร่อร์ก็คือร้อยเอก อ๊อตโต สคอรเซนี่ ผู้มีความสูงถึง ๖ ฟิต ๔ นิ้ว น้ำหนักตัว ๒๐๐ ปอนด์ สคอรเซนี่ มีแผลเป็นที่ใบหน้า อันเนื่องจากการดวลดาบเมื่อยังเป็นนักศึกษา ตำแหน่งของเขาในขณะนั้นคือ ผู้บังคับการโรงเรียนรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นที่ฝึกอบรมสายลับของนาซีในทุก ๆ บทบาทนับตั้งแต่การป้องกันตนเอง จนถึงการก่อวินาศกรรม
ฮิตเล่อร์ แจ้งกับสคอรเซนี่ด้วยความตื้นตันใจว่า
“มุสโสลินี สหายที่ซื่อสัตย์ของผม ถูกกษัตริย์หักหลังเมื่อวานนี้และกำลังถูกควบคุมตัวอยู่ ผมจะต้องซื่อสัตย์ต่อเพื่อนของผมผู้นี้ โดยจะต้องช่วยเหลือให้เขาพ้นจากการคุมขังโดยฉับพลัน”
ร้อยเอกสคอรเซนี่ ลงมือดำเนินการทันที เขาโทรเลขและโทรศัพท์เรียกสายลับ ซึ่งเขาเคยฝึกเอาไว้มาใช้งานจำนวน ๕๐ นาย ล้วนแต่พูดภาษาอิตาเลี่ยนได้ทั้งสิ้นนอกจากนั้นเขาก็ยังขอเครื่องแบบฤดูร้อน เครื่องแต่งกายสากล อาวุธปืนและเครื่องเก็บเสียงปืน ตลอดจนแก๊สน้ำตา แก๊สหัวเราะ หน้ากากป้องกันแก๊สพิษ วัตถุระเบิดหนัก ๓๐ กิโลกรัม ธนบัตรเงินปอนด์ปลอม ๑ ปึก และเครื่องแต่งกายชุดบาทหลวง
ขณะนั้นข่าวคราวเกี่ยวกับมุสโสลินีในอิตาลี กำลังสับสนอยู่มาก ข่าวหนึ่งกล่าวว่ามุสโสลินีฆ่าตัวตายไปแล้ว อีกข่าวหนึ่งว่ากำลังพักฟื้นจากโรคหัวใจในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ขณะที่อีกข่าวหนึ่งซึ่งรายงานว่าเขาปลอมแปลงตัวอยู่ในแนวรบด้านชิชิลี
ในโอกาสวันเกิดครบ ๕ รอบของมุสโสลินีเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคมนั้น ฮิตเล่อร์ได้ส่งของขวัญไปให้โดยผ่านแม่ทัพเยอรมันภาคใต้ผู้ซึ่งได้พยายามเข้าเฝ้ากษัตริย์วิคตอริโอ เอมมานูเอลที่ ๓ และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทำให้ได้ทราบข่าวว่ามุสโสลินียังอยู่เป็นปกติดี ภายใต้การอารักขาของพระเจ้าอยู่หัว จอมพลบาโดกลิโอได้สัญญาว่าจะส่งของขวัญจากฮิตเล่อร์ไปให้มุสโสลินีตามที่ฮิตเล่อร์ขอร้อง
จนกระทั่งเดือนกันยายน ฝ่ายเยอรมันจึงได้รับทราบข่าวที่แน่นอนถึงที่คุมขังมุสโสลินี
ณ ที่ราบบนยอดเขา มองเตคอรโน ซึ่งมีความสูง ๖,๕๐๐ ฟิตนั้น มีโอเต็ลตากอากาศอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งจะขึ้นไปถึงได้วิธีเดียวคือ โดยสารรถกระเช้าแขวน ซึ่งลากขึ้นไปด้วยความสูง ๓,๐๐๐ ฟิตจากเบื้องล่าง เป็นความจริงแล้วดังที่นายทหารนาซีสคอรเซนี่คาดหมาย-อดีตผู้นำและอดีตจอมเผด็จการอิตาลีถูกคุมขังตัวอยู่ในโฮเต็ลแห่งนั้น
เมื่อทราบที่คุมขังเช่นนั้นแล้ว ฝ่ายนาซ็เริ่มลงมือปฏิบัติการโดยมิชักช้า ทหารเยอรมันได้รับรายงานว่าตำรวจคาราบิเนียริของอิตาลีขึ้น ๆ ลง ๆ ภูเขาลูกนี้โดยผ่านหมู่บ้าน แอสเซอรจิ ซึ่งอยู่ตีนเขาตรงสถานีรถกระเช้าและตลอดทางซึ่งผ่านขึ้นไปก็จะมีหน่วยตรวจค้นเรียงไปตลอด นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงแรมยังถูกปลดออกหมดโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เมื่อทราบรายงานดังกล่าวนี้แล้ว ฝ่ายเยอรมันจึงได้ส่งนายแพทย์คนหนึ่งขึ้นไปยังโฮเต็ลแห่งนั้น โดยแสร้งทำเป็นว่าต้องการสำรวจเพื่อหาสถานที่เพื่อทำเป็นสถานฟื้นฟูผู้ป่วยโรคมาลาเรีย แต่แพทย์เยอรมันผู้นั้นมิได้รับอนุญาตให้โดยสารรถกระเช้า และยังถูกขู่ว่าจะถูกจับกุมอีกด้วย ในลักษณะเช่นนี้ฝ่ายนาซีก็แก้ปัญหาไม่ตกว่าจะขึ้นไปสู่ยอดเขาดังกล่าวนั้นได้โดยวิธีใด
การจะเข้าโจมตีหมู่บ้านเพื่อยึดสถานีรถกระเช้านั้นเป็นอันว่าตัดไป เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ตำรวจอิตาลีทำลายรถกระเช้าเสีย ซึ่งเมื่อระบบรถกระเช้าเสียหาย ก็ไม่มีทางที่จะขึ้นไปยอดเขาได้ การที่จะส่งพลร่มลงไปยังโฮเต็ลก็เป็นไปไม่ได้อีก เนื่องจากลมพัดแรงมาก พลร่มจะถูกพัดไปตกยังเบื้องล่าง แทนที่จะลงยังที่ราบบนยอดเขา ดังนั้นก็เหลืออยู่วิธีเดียวคือ การใช้เครื่องร่อน แต่การใช้เครื่องร่อนก็หาใช่จะปลอดภัยไม่ หากเมื่อเหลืออยู่วิธีเดียว ฝ่ายนาซีก็จำต้องเสี่ยงปฏิบัติภารกิจ
เมื่อตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว ฝ่ายเยอรมันก็ได้สั่งเครื่องร่อนมา ๑๒ ลำและเครื่องบินลากจูงอีก ๑๒ ลำ ในเครื่องร่อนแต่ละลำบรรจุทหารนาซี ๑๐ นายพร้อมอาวุธครบมือ นอกจากนั้นยังมีเครื่องบินตรวจการขนาดเล็กอีกหนึ่งลำที่สามารถลงจอดในพื้นที่จำกัดคล้ายเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินตรวจการขนาดเล็กจะรับผู้โดยสารสำคัญลงมาจากยอดเขามองเตคอรโน
และแล้วในวันที่ ๑๒ กันยายน เครื่องบินลากจูงเครื่องร่อนก็ออกเดินทางสถานที่แห่งหนึ่งใกล้กรุงโรม เครื่องร่อนทั้ง ๑๒ ลำถูกปล่อยให้ร่อนลง ณ บริเวณใกล้กับภูเขามองเตคอรโน เมื่อเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา ร้อยเอก สคอรเซนี่หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการอยู่ในเครื่องร่อนลำที่นำหน้า จากการให้เครื่องบินบินสำรวจจุดที่จะร่อนลงที่เหมาะสม ในที่สุดก็ได้จุดที่เหมาะสมในการนำเครื่องร่อนลงจอด
ภายในห้องพักหมายเลข ๒๐๑ของโฮเต็ลรูปตัวยู ท่านดูเช่กำลังนั่งสนทนากับคนเลี้ยงแกะท้องถิ่นชื่อ อัลฟองโซ นิซี่ ที่ตำรวจส่งขึ้นมาเป็นเพื่อนสนทนาให้ท่านผู้นำเพราะในคืนก่อนหน้านั้นเมื่อได้ยินข่าวทางวิทยุว่ารัฐบาลนายกบาโด กลิโอวางแผนจะส่งตัวเขาให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร ดูเช่ได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรมโดยใช้ใบมีดโกนเฉือนข้อมือข้างซ้าย แต่ก็ไม่สำเร็จตามความมุ่งหมายเพราะตำรวจได้เข้ามาช่วยได้ทันท่วงที
อัลฟองโซ นีซี มีพื้นเพในทางทำนายโชคชะตา เขากำลังถอดไพ่ทำนายโชคชะตาให้ท่านดูเช่ว่า “จะมีคนมาช่วยท่านในวิธีที่เหลือเชื่อ”
มุสโสลินีแสดงความเกรี้ยวกราด โดยเอามือกวาดไพ่บนโต๊ะกระจาย “ไอ้ระยำ แกกำลังหลอกลวงฉันด้วยคำทำนายบ้า ๆ ของแก” เขาตวาดนีซี
ภายนอกโฮเต็ล เครื่องร่อนของสคอรเซนี่ร่อนลงได้โดยสวัสดิภาพ ห่างโฮเต็ลเพียง ๒๐ หลา ตำรวจอิตาลีตื่นตระหนกในอุบัติการนั้น คำสั่งที่เขาได้รับจากรัฐบาลคือให้สังหารมุสโสลินีทันทีที่มีผู้บุกเข้ามาชิงตัว แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลได้ลงนามในสัญญายอมจำนนต่อสัมพันธมิตรแล้ว ผู้บังคับกองรักษาการณ์ของอิตาลีก็ตัดสินใจไม่ได้ทันทีว่าเขาควรจะปฏิบัติอย่างไรกับมุสโสลินี แต่นาทีนี้เขาตัดสินใจยอมจำนวนต่อทหารนาซี
มุสโสลินี โผล่หน้ามามองทางหน้าต่างห้องพักตะโกนว่า “อย่าให้เสียเลือดเนื้อกันเลย ผมขอที”
ร้อยเอกสคอรเซนี่ เข้ามาในห้องพักเผชิญหน้ากับมุสโสลินี และนายตำรวจอิตาลี ๒ นาย “ท่านดูเช่ ท่านฟือห์เร่อร์ ส่งผมมาช่วยท่าน ท่านเป็นอิสระแล้ว” เขากล่าว
มุสโสลินีเข้าสวมกอดนายทหารนาซีอย่างดีใจ ปากพร่ำว่า “ผมรู้ดีว่า อด๊อฟ ฮิตเล่อร์ สหายรักของผมจะไม่มีวันทอดทิ้งผม”
ในขณะเดียวกันนั้น ที่เบื้องล่างของภูเขา นายทหารนาซีที่เหลือก็เข้าทำการยึดสถานีรถกระเช้าเอาไว้ ซึ่งจะทำให้ทหารเยอรมันสามารถลงมาจากยอดเขาได้โดยทางรถกระเช้า
ตามแผนเดิม สคอรเซนีจะนำมุสโสลินีมายังกรุงโรมโดยเครื่องบินแล้วจึงเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องบินทิ้งระเบิดไปสู่กรุงเวียนนา แต่เครื่องบินตรวจการที่จะมารับสคอรเซนี่เกิดความเสียหายมารับไม่ได้ตามแผน สคอรเซนี่จึงเปลี่ยนแผนพาท่านดูเช่จากโฮเต็ลบนยอดเขาไปโดยเครื่องบินตรวจการขนาดเล็กเครื่องนั้นด้วยกัน
ร้อยเอก สคอรเซนี่ประหลาดใจที่มุสโสลินีไม่ได้ตระหนกตกใจแต่ประการใด ดูเช่มองลงมาเบื้องล่างแล้วชี้ให้นายทหารนาซีดูสถานที่ต่าง ๆ “นั่นคือ อคิล่า-ผมมาปราศรัยที่นั่นเมื่อ ๒๐กว่าปีมาแล้ว”
เวลา ๑๗.๓๐ น.สคอรเซนี่ก็นำมุสโสลินีมาถึงกรุงโรม เมื่อก้าวเท้าลงจากเครื่องบินซึ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่เต็มที่ ดูเช่จับมือกับ ไฮนริช เกอรลาซ นักบินและกล่าวเป็นภาษาเยอรมันว่า “ขอบคุณมากสำหรับการช่วยชีวิตผม”
No comments:
Post a Comment