วังวนการเรียกร้องประชาธิปไตย
บทเรียนจากการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ผ่านมา เราได้เห็นจุดยืนที่แตกต่างของประชาชนกับทหาร-ตำรวจ ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพเสมอในการปราบปรามประชาชนตามคำสั่ง โดยคำสั่งนั้นมาจากผู้รักษาอำนาจที่อ้างถึงความมั่นคงของชาติ ความสำนึกของทหาร-ตำรวจผู้เป็นอาวุธให้แก่ผู้มีอำนาจจะมองว่าเป็น “หน้าที่” ก็ได้ แต่ถ้ามองความเป็นจริงของฐานอำนาจทางการเมือง ก็สรุปได้ว่าความพยายามของพลังทหารที่จะขึ้นมามีอำนาจในแผ่นดินไทยยังไม่หมดสิ้นไป
ในสังคมไทยที่ผ่านมา การจะทำรัฐประหารหรือไม่นั้น ดูเหมือนว่าพลังของประชาชนจะมิได้ชี้ขาด ดังนั้นตราบใดที่อำนาจยังไม่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง และยังไม่มีฐานของประชาธิปไตยมั่นคงเพียงพอ การทำรัฐประหารย่อมเกิดขึ้นใหม่ได้ อีกประการหนึ่ง ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่อยู่ในชนบทซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการได้ชัยชนะอย่างมั่นคง ยังตกอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งก็คือผู้ควบคุมสอดส่องดูแลการเคลื่อนของประชาชนแทนคณะรัฐประหารนั่นเอง พลังมวลชนส่วนนี้จึงไม่เคยได้เข้ามาสมทบมากเพียงพอที่โค่นล้มอำนาจที่ไม่เป็นธรรมอย่างแท้จริงเลย การยุติเหตุการณ์จราจลที่เกิดขึ้นซึ่งทุกครั้งประชาชนล้มตายเป็นใบไม้ร่วงเสมอ จึงไม่ใช่เป็นเพราะประชาชนได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายรัฐประหารเลยสักครั้งเดียว
ก็เมื่อประชาชนไม่ได้รับชัยชนะด้วยความสามารถของตนเองอย่างแท้จริง(แม้สักครั้งเดียว) สิ่งที่ตามมาจึงเป็นการต่อรองผลประโยชน์ อภัยโทษ ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วไม่กี่ปีต่อมาเมื่อกลิ่นคาวเลือดจางลง ความเคียดแค้นในจิตใจคลายลง ก็กลายเป็นการยอมรับอย่างศิโรราบต่อคณะรัฐบาลที่เข้ามาเสวยอำนาจ ประชาชนพอใจเพียงแค่การจะได้มาลงคะแนนเลือกตั้งเพื่อมอบความชอบธรรมให้แก่นักเลือกตั้งอาชีพที่ไม่มีอุดมการณ์ใดๆเพื่อประชาชนเลย กลุ่มนักเลือกตั้งอาชีพเหล่านี้ก็จะกลับไปรับใช้พวกอภิสิทธิ์ชนอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง...
ชนชั้นปกครอง-นักวางแผนในมุมมืดของสังคมไทยที่คนไทยไม่รู้ชัดเจนว่าเป็นใคร ได้ศึกษามาอย่างดีถึงกลวิธีที่จะหลอกล่อ-ปั่นหัว-ยุแยงสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจเก่าแก่ ประชาชนจึงไม่เคยได้สัมผัสถึงความยุติธรรม ความเท่าเทียมกันของความเป็นประชาชนในชาติเลย
กลุ่มนักวางแผนเหล่านี้รู้จักนิสัยใจคอของคนไทยดีกว่า ๒๒๕ ปีแล้ว ว่าประชาชนคนไทยรักสงบ ให้อภัยพร้อมจะลืมอดีตได้ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนได้ง่ายๆ เพียงแค่คำพูดปลอบประโลม ประสานน้ำใจ ทุกอย่างก็ยุติลงอย่างง่ายดาย แล้วปัญหาก็จะถูกผลักออกไปรอวันเวลาข้างหน้าที่จะเกิดปะทุขึ้นมาอีกครั้งและบัดนี้ดูเหมือนว่าปัญหาที่ถูกผลักต่อๆกันมามานานนับ ๗๕ ปีกำลังจะเกิดปะทุขึ้นในไม่ช้า แต่คราวนี้ประชาชนทั้งหลายจะยอมเดินลงหลุมพรางของการต่อรองจากผู้มีอำนาจ เพื่อจะให้วังวนของการเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทยเป็นไปอย่างเดิมอีกครั้งอย่างนั้นหรือ ?
แล้วทางออกจากวังวนนี้อยู่ที่ไหน ? ก็ต้องฝากไว้กับพลังประชาชนทั่วประเทศที่ถูกกดขี่ เบียดเบียนจากคณะรัฐประหาร ประสานกับกำลังอาวุธจากทหาร-ตำรวจที่พร้อมจะร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ความเจริญที่ประชาชนยังไม่เคยได้รับอย่างแท้จริงเลย (การต่อสู้ภายในประเทศไทย จะต้องไม่พึ่งพิงกำลังทหารหรืออาวุธจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะนั่นจะทำให้ชัยชนะที่ได้ไม่เป็นของประชาชนและจะถูกเรียกร้อง บีบคั้นในภายหลังและนั่นจะกลายเป็นการทำลายประเทศโดยน้ำมือของคนไทยเพื่อประเทศอื่น) จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้นักต่อสู้อาชีพอย่างทหาร-ตำรวจได้เข้าร่วมกับประชาชนต่อสู้ ซึ่งการต่อสู้เปลี่ยนแปลงประเทศในครั้งนี้จะเป็นครั้งที่หนักหน่วงกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา แต่ในที่สุดชัยชนะจะต้องเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง.
No comments:
Post a Comment