ปัจจุบันของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
“สิ่งที่ผมเขียนถึงเป็นระยะ ๆ คือท้วงติงการอ้างถึงความดีมาปกปิดการครอบงำ หรือการเอารัดเอาเปรียบซึ่งบางคนทำไปโดยไม่รู้ตัว โลกเดือดร้อนมาก เพราะการอ้างถึงความดี โอเค คนชั่วไม่จริงใจกับความดี อ้างความดีมากลบเกลื่อนการกระทำของตน อันนี้เราเข้าใจได้ไม่ยาก แต่มีบ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจก็คือว่า ทำไมคนดีถึงไปทำสิ่งที่ไม่ดี หรือถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉย”
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ถาม. งานเขียนของอาจารย์ตั้งแต่ยังหนุ่ม เล่าถึงความลำบากยากแค้นของชีวิต จนถึงขณะนี้ยังอยู่ในบริบทเดิม ๆ หรือเปล่า ?
ส.อันที่จริงผมเขียนถึงความลำบากยากแค้นของตัวเองไว้ไม่มากเท่าใด ส่วนใหญ่อยู่ในบันทึกเกี่ยวกับวัยเยาว์ พ้นจากนั้นมักจะเป็นความยากลำบากของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่ผมได้ไปพบเห็นมา ซึ่งเขียนวไว้ในรูปเรื่องสั้นและบทความ กระนั้นก็ตาม งานหลักของผมไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ แต่เป็นบันทึกการเดินทางเป็นข้อเขียนเกี่ยวกับการเข้าป่า ออกทะเล และการแสวงหาทางจิตวิญญาณมากกว่า
ทุกวันนี้ ผมแทบไม่ได้เขียนเกี่ยวกับความยากลำบากของตัวเองเลย เนื่องจากชีวิตภายในของผมเปลี่ยนไป พูดง่าย ๆ คือเติบโตขึ้น เพราะฉะนั้นหลายอย่างที่เคยเดือดร้อนจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนเท่าเดิม มันทำให้มีความทุกข์น้อยลง หรือบางทีก็ไม่ค่อยมี จะว่าไปถ้ากล่าวสำหรับเงื่อนไขภายนอก เดี๋ยวนี้ผมสบายกว่าสมัยหนุ่ม ๆ เยอะ อย่าลืมว่าสมัยก่อนผมนอนกลางดินกินกลางทราย ถือปืนอยู่ป่า ส่วนตอนที่เป็นนักศึกษาก็มีแต่ห้องพักห้องหนึ่ง หนังสือสองสามเล่ม ทุกวันนี้ผมมีข้าวกิน มีบ้านอยู่ ก็พอแล้ว
ถาม. มีห้องพักกับหนังสือสองสามเล่ม แต่ก็มีความฝันไม่ใช่หรือ ?
ส. ความฝันนั่นแหละตัวทุกข์ พอคุณไม่มีความฝัน คุณจะไม่มีเรื่องทุกข์อะไรนัก อย่างในเวลานี้ ผมไม่มีความฝันในเรื่องใด ๆ ผมไม่มีมาพักใหญ่แล้ว
ถาม. พักใหญ่นี่นานขนาดไหน
ส. อาจจะเกือบสิบปี หลังจากมีปัญหาในชีวิตครอบครัวมันทำให้ผมรู้สึกจริง ๆ เป็นครั้งแรกว่าการยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ที่รู้สึกเช่นนั้นก็เพราะว่าความขัดแย้งระหว่างผมกับครอบครัวโดยพื้นฐานแล้วเป็นความขัดแย้งทางความคิด มองโลกไม่เหมือนกัน
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเรียนรู้ช้าก็เพราะเคยมีความฝันไม่เหมือนคนทั่วไป พูดอีกแบบคือมันเกิดจากกิเลสที่มีลักษณะเฉพาะของผมเอง คนทั่วไปเขามักมีกิเลสเรื่องภายนอก เช่น ต้องการความมั่งคั่ง ร่ำรวย ต้องการวัตถุสิ่งของ ต้องการมีฐานะทางการเมือง หรือต้องการได้รับการยกย่องสรรเสริญจากทางสังคม อะไรต่าง ๆ เหล่านี้.. แต่ความต้องการที่นำความทุกข์มาให้ผมมากที่สุดตั้งแต่หนุ่ม กลับเป็นความต้องการที่จะเปลี่ยนโลกให้เป็นไปตามอุดมคติ อันนี้จริง ๆ แล้วเป็นอัตตาไม่แพ้เรื่องอื่น แต่ก่อนเราไม่รู้ตัว นึกว่าทำความดีแล้วเลยไม่มีอะไรจะต้องมาว่าตัวเอง อันที่จริงมันเป็นกิเลสชนิดหนึ่งคืออยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคิดเราฝัน พอเกิดความต้องการอย่างนั้น ก็ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปทะเลาะกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ รวมทั้งขัดแย้งกับผู้คนที่คิดต่าง ไม่ว่าจะใกล้ชิดสนิทสนมขนาดไหน ก็ต้องมีปากมีเสียง มีเรื่องตำหนิติเตียนกันอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลต่อชีวิตตัวเอง และต่อชีวิตคนรอบข้าง
ในที่สุด หลังจากเกิดวิกฤต ผมถึงได้สติว่า ถ้าเราไม่ใช้ชีวิตอย่างนี้คงจะไปไม่รอด มันผิดทางโลกเป็นอย่างที่มันเป็น เพราะมีสาเหตุความเป็นมาอยากเปลี่ยนมันไปในทางที่ดี อยากช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก ไม่เป็นไร แต่จะต้องรู้ว่ามันมีกฏกติกาของจักรวาลที่ไม่ได้เปลี่ยนตามใจเรานึก เราทำเท่าที่ดีที่สุดก็พอแล้ว
ถาม. จุดเปลี่ยนที่ว่านอกจากเกิดจากปัญหาครอบครัวแล้ว มีเรื่องอื่นหรือเปล่า
ส. มันคงบวกกันรอบทิศทาง ส่วนหนึ่งมาจากการอยู่ในโลกนี้นานพอที่จะเห็นความจริงมากขึ้น อันนี้เป็นด้านธรรมดา แต่ด้านเฉพาะของชีวิตผมก็คือเรื่องครอบครัว มันทำให้เราเห็นซึ้งในอนิจจัง เห็นชัดเลยว่าชีวิตเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ...
สิ่งที่ผมพบเป็นรูปธรรมในช่วงหนึ่ง คือต้องอยู่คนเดียวเป็นแรมปี ในขณะที่ลูกเมียไปอยู่ต่างประเทศหมด ตอนแรกผมรู้สึกใจหายมาก จึงพยายามครุ่นคิดใคร่ครวญว่าทั้งหมดเป็นเพราะอะไร จากนั้นก็พบความจริงว่าความรู้สึกทุกข์ร้อนทั้งหลายมันเกิดจากการยึดมั่นถือมั่นของเราเอง เราคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของครอบครัว เป็นเจ้าของลูกเมีย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความจริงบางส่วนเท่านั้น เป็นแค่สมมติสัจจะ เป็นจริงในลักษณะสัมพัทธ์ มันไม่ได้หมายความว่าสัมพันธภาพดังกล่าวจะต้องหยุดนิ่งตายตัว หรือดำเนินไปตามความต้องการของเราถึงที่สุดแล้วมันก็เป็นปรากฎการณ์ชั่วคราว มีเกิดมีดับ ต่อให้ไม่เลิกกัน วันหนึ่งก็ต้องตายจากกัน
ถาม. ในขณะที่เราละวางได้ แต่คนที่เป็นลูก เป็นภรรยา ก็ต้องคาดหวังเราในบทบาทพ่อหรือสามีอยู่ดี
ส.ถูก..ข้อนี้เราไม่เถียงกัน แต่ผมหมายถึงว่าการยึดถือความสัมพันธ์ในรูปแบบตายตัว กระทั่งถือครองครอบครัวแบบวัตถุสิ่งของนั้น มันเป็นอุปาทาน จริง ๆ แล้วเราไม่เคยเป็นเจ้าของผู้ใด เราอาจจะเป็นพ่อ เป็นสามี ในความหมายทางสังคมหรือในความหมายทางจิตใจที่มนุษย์เขาเป็นกัน แต่ว่าอันนั้นเป็นคนละเรื่องกับการยึดมั่นถือมั่นว่าทุกอย่างจะต้องดำรงอยู่เหมือนเดิมตลอดไป
อย่างในกรณีของผม โจทย์ในชีวิตมันเผยตัวออกมาแล้วว่า หนึ่ง ลูก ๆ โตขึ้นและต้องแยกตัวไปมีชีวิตของเขาเอง สอง ผมกับภรรยาแยกทางกันเดิน เราจะไม่ได้แก่เฒ่าด้วยกันเหมือนดังที่เคยฝันไว้ เบื้องหน้าสถานการณ์เช่นนี้ ผมจะแบกความเศร้าโศกเข้าสู่วัยชรา หรือว่าจะเผชิญกับมันอย่างสงบนิ่งและข้ามให้พ้น โจทย์มันอยู่ตรงนี้ และผมคงไม่สามารถเลี่ยงคำถามได้
แต่จะโดยบังเอิญหรือโดยบุญวาสนาอะไรไม่ทราบ ในห้วงที่อยู่คนเดียว ผมเกิดตระหนักขึ้นมาว่าจริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องมีทุกข์ในเรื่องไหนเลย เราเกิดมาโดยลำพัง จะแก่เฒ่าโดยลำพัง และตายโดยลำพัง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตข้างในเป็นเรื่องเฉพาะตัวอยู่แล้ว
ยิ่งพิจารณาไป ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าทุกข์สุขร้อนหนาวมันอยู่ที่มุมมองเท่านั้นเอง คือเป็นเพียงเส้นผมบังภูเขา ถ้าเรามีสติตื่นรู้อยู่กับชั่วโมงปัจจุบัน ก็จะพบว่าทุกข์ในอดีตมันผ่านไปแล้ว อย่างในเวลานี้นั่งกินกาแฟกับคุณ ไม่มีความทุกข์อะไรเลย แต่ถ้าเราปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน เจ็ดปีก่อน เข้ามาในหัว ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงอีกต่อไปแล้ว ก็อาจจะเป็นทุกข์ได้ หรือจะปล่อยให้จินตนาการเรื่องความแก่เฒ่าในอนาคต ช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีบำนาญ เข้ามาในหัว ก็ทุกข์กับเรื่องที่ยังไม่เป็นจริงอยู่ดี มันยังไม่ได้เกิดขึ้น
พูดกันตามภาษาธรรม ความจริงมีอยู่อย่างเดียว คือเดี๋ยวนี้และที่นี่ ความจริงเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ความจริงไม่เคยหยุดนิ่ง ถ้าเราไปผูกติดตัวเองกับความจริงที่ตายแล้ว สถานที่ที่ไม่มีอยู่แล้วในชีวิตเรา ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องแล้วในชีวิตเรา วันทั้งวันก็ไม่ต้องทำอะไร และจะไม่เพียงสูญเสียอดีต หรือว่าปวดร้าวกับอนาคตเท่านั้น แม้ปัจจุบันก็ยังหาไม่พบอีกต่างหาก
ผมยิ่งแก้ทุกข์ด้วยวิธีนี้ก็ยิ่งเชื่อมั่นว่ามาถูกทาง ทำให้มีแรงบันดาลใจไปศึกษาพุทธศาสนา และปรัชญาตะวันออกเพิ่มเติม
ถาม. รำคาญหรืออึดอัดไหมที่มีคนอยากให้ทำโน่นทำนี่ตอนประท้วงรัฐบาลที่แล้ว
ส. เมื่อถูกเรียกร้องให้ไปมีบทบาททางการเมืองแบบเก่า ๆ หรือแม้แต่ถูกขอสัมภาษณ์โดยสื่อต่าง ๆ ผมรู้สึกอึดอัด เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ รายไหนปฏิเสธได้ก็ปฏิเสธ รายไหนเป็นคนชอบพอกันก็พูดลำบากสักหน่อย แต่ถึงที่สุดแล้วผมก็ต้องเลือก ต้องตัดสินใจว่าจะทำในสิ่งที่เราเห็นด้วยจริง ๆ สิ่งที่เราเห็นด้วยจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องดีกว่าถูกกว่าคนอื่นเขา แต่เป็นสิ่งที่เราพอใจ มีความรู้สึกดีกับมัน ซึ่งคนอื่นอาจจะคาดไม่หรือไม่เห็นด้วย เช่น การอยู่เงียบ ๆ ปลีกวิเวก ถือสันโดษ เป็นความสุขของผม อยู่โดยไม่เป็นใคร ไม่เป็นอะไรเลย เหมือนกับที่ผมเขียนชื่อภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มใหม่ ‘วันที่ถอดหมวก’ The Art of Being Nobody หลายคนอาจจะไม่เชื่อแต่ผมชอบ ดังนั้นผมจึงมักปฏิเสธข้อเรียกร้องเชิงบทบาทที่คนอื่นเสนอมา โดยเฉพาะบทบาทที่เน้นเรื่องชื่อเสียงเก่า ๆ ของผม ผมเบื่อ แต่ถ้าช่วยคนเดือดร้อนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถาม. สมมติว่าเราเกิดชนะขึ้นมาในสงครามครั้งนั้น คิดว่าจะเป็นอย่างไรกับปัจจุบัน
ส. คงตายไปแล้ว เพราะว่าผมไม่ค่อยปิดบังความเห็นเวลาคิดแตกต่างจากคนอื่น อีกทั้งมักจะยืนยันความคิดของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่วิถีที่ฝ่ายนำปฏิวัติเขาชอบเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถ้าบังเอิญขบวนการปฏิวัติได้ชัยชนะ ผมคงถูกลงโทษด้วยข้อหาแปลก ๆ มันเป็นปรากฏการณ์ที่เราพอจะคาดเดาได้ในประเทศที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะ คนที่มีความเห็นเป็นของตัวเองต่างจากฝ่ายนำมักจะอยู่ไม่รอด ไล่มาตั้งแต่สหภาพโซเวียตจนถึงประเทศจีนและสามประเทศอินโดจีน มีบทเรียนแบบนี้ทั้งนั้น คอมมิวนิสต์นี่แปลกดี เวลารบกับฝ่ายขวาไม่ค่อยตายมาก แต่มาตายมากตอนชนะแล้ว เพราะกวาดล้างกันเอง
ถาม. ในงานเขียนของอาจารย์ช่วงแรกพูดถึงการสูญเสียสิ้นหวังจากความพ่ายแพ้ในขบวนปฏิวัติ ในชีวิตจริงปลุกพลังให้กลับคืนมาได้อย่างไร
ส. ช่วงแรกที่ออกจากป่า ผมรู้สึกสูญเสียทิศทาง สูญเสียจุดหมายในชีวิตมาก เพราะว่าเคยอุทิศตัวเพื่อการต่อสู้เป็นเวลาหลายปี คือทิ้งพ่อแม่ ทิ้งลาภยศสรรเสริญทั้งปวงตั้งแต่อายุน้อย ๆ ไปทำในสิ่งที่ผมเชื่อว่าถูกต้องดีงาม มันเป็นอุดมคติที่เรียกร้องทุกอย่างจากตัวผม ครั้นแพ้กลับมาโดยมีสาเหตุหลักอยู่ที่ความบกพร่องของขบวนปฏิวัติเอง มันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตบางส่วนตกหายไปชิ้นโตทีเดียว มันหาจุดหมายที่ใหญ่เท่าเดิมมาเติมเต็มไม่ได้
พูดถึงจุดนี้แล้ว คงต้องยอมรับว่าตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจความเกี่ยวโยงระหว่างอัตตากับอุดมการณ์ เราไม่รู้ว่ามันมีอัตตาของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คืออยากจะทำแต่เรื่องยิ่งใหญ่ เพื่อให้ชีวิตเปี่ยมด้วยคุณค่าความหมาย แม้จะไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงหรือคุณค่าภายนอก แต่ว่าจินตนาการความยิ่งใหญ่ของชีวิต ก็คือชีวิตที่ต้องอุทิศตัวเพื่อส่วนรวม รับใช้ประชามหาชนแล้วก็ยืนต้านความอยุติธรรม เพราะฉะนั้นวันดีคืนดี พอภารกิจนี้มันหายไป ไม่มีอะไรอุทิศตัวแล้ว ก็ทำให้หาตัวเองเกือบไม่พบ
นอกจากนี้โดยส่วนตัว ความรู้สึกที่ถูกบีบให้ต้องยอมจำนนคู่ต่อสู้ มันก็เป็นบาดแผลสำหรับคนที่ถูกฝึกมาแบบผู้ชายโบราณเหมือนกัน นึกออกไหม ขบวนปฏิวัติในช่วงปีสองพันห้าร้อยยี่สิบกว่า ๆ ส่วนใหญ่ที่สุดแล้วไม่ได้ถูกปราบด้วยกำลังอาวุธจนบาดเจ็บล้มตายหมด แต่ส่วนใหญ่วางอาวุธ ขอเลิกเอง เพราะว่ามันมีความขัดแย้งในขบวน ในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง เหตุการณ์นี้เป็นบาดแผลที่ทำให้ผมเจ็บปวดและรู้สึกเสียศักดิ์ศรีอยู่นานเหมือนกัน...
ถาม. ช่วงหลังอาจารย์มักเขียนถึงอันตรายของการทำความดีหรือกระทั่งสิ่งที่เป็นอุดมคติด้วยซ้ำไป
ส. เรื่องนี้มีความซับซ้อนอยู่ ในเบื้องต้นขอให้เข้าใจว่าผมไม่ได้ต่อต้านความดี ในความหมายของความรักความเมตตาที่มนุษย์มอบต่อกัน แต่สิ่งที่ผมเขียนถึงเป็นระยะ ๆ คือท้วงติงการอ้างถึงความดีมาปกปิดการครอบงำ หรือการเอารัดเอาเปรียบซึ่งบางคนทำไปโดยไม่รู้ตัว
โลกเดือดร้อนมาก เพราะการอ้างถึงความดี โอเค คนชั่วไม่จริงใจกับความดี อ้างความดีมากลบเกลื่อนการกระทำของตน อันนี้เราเข้าใจได้ไม่ยาก แต่มีบ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจก็คือว่า ทำไมคนดีถึงไปทำสิ่งที่ไม่ดี หรือถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉย คำตอบมีอยู่ว่าเพราะเขาไปผูกตัวตนไว้กับความคิดเรื่องดีชั่วอย่างกลไกตายตัว เมื่อโลกไม่เป็นไปตามความคิด ก็รู้สึกมีความชอบธรรมที่จะไปขัดแย้ง ไปต่อต้าน กระทั่งไปเปลี่ยนแปลงเอาตามใจชอบ เพราะว่าเขาคิดว่าเขาทำดี
ด้วยเหตุนี้ผมถึงบอกว่า อุดมคติมันเป็นอัตตาชนิดหนึ่งผมเคยผ่านมาแล้ว ในสมัยเป็นนักปฏิวัติ เราถูกสอนว่าฆ่าศัตรูไม่ผิด เพราะเพื่อโลกที่ดีกว่า ทำไปทำมาฝ่ายซ้ายก็ฆ่ากันเองเยอะแยะ ในนามของโลกที่ดีกว่า ในนามของความถูกต้อง แล้วบางคนก็แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่ยุติธรรม
ในโลกของปัญญาชน นักวิชาการก็เช่นกัน ถามว่านักวิชาการมีผลประโยชน์ทางวัตถุไหม ไม่ค่อยมีหรอก แต่ผลประโยชน์ทางจิตใจ ทางปัญญา นี่มีมากโดยไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันถูกไปหมด พอถูกไปหมด ใครไม่เห็นด้วยก็โกรธ พอโกรธก็เริ่มหาทางทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง ด่าทอ คัดค้าน ปฏิเสธหาทางเอาชนะไอ้นี่เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วไม่ต่างอะไรจากอัตตาในเรื่องอื่นๆ ..
เรียบเรียงจากบทความ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ใน ‘ปัจจุบันขณะ’ หนังสือ ฅ.คน ฉบับเดือนเมษายน ๒๕๕๐
ดาวน์โหลด PDF ไฟล์ที่
No comments:
Post a Comment