Sunday, March 15, 2009

ลำดับ๔๙๖.สงครามลับของCIAในลาว(๘)

สงครามลับของ CIA ในลาว
บทที่๘ เจ้าสุภานุวงศ์กล่าวกับคณะเมื่อจะต้องยุบกองทหารตามสัญญาเจนีวา

ปี ๒๕๐๐ เป็นปีแห่งการรวมลาวครั้งแรก เพื่อการปรองดองเพื่อปฏิบัติแนวทางสันติภาพและเป็นกลางนั้น ทางฝ่ายปเทดลาวได้ส่งคนเข้าร่วมในรัฐบาลผสมและกองทัพแห่งชาติตามสนธิสัญญาเจนีวาปี ๒๔๙๗ ส่วนกำลังพลนอกนั้นให้กลับท้องถิ่นบ้านเกิดของตน

เวลาเดียวกันนั้น มีผู้ปฏิบัติงาน นักรบ จำนวนไม่น้อยที่อยู่ในจำพวกที่ต้องกลับท้องถิ่นของตนเพื่อเป็นกองหนุน เกิดรู้สึกไม่สบายใจ แทบจะร้องไห้แสดงความหมดหวัง เพราะพวกเขาร่วมต่อสู้กู้ชาติจนได้ชัยชนะปลดปล่อยซำเหนือ พงสาลีและท่าแขกจากกองทหารฝรั่งเศสอย่างอาจหาญวีระ ต้องเสียสละความสุข เลือดเนื้อและชีวิตมามากมายเพียงไรแล้ว มาถึงวันนี้กลับจะต้องมายอมจำนนตามข้อเสนอของฝ่ายตรงข้าม ความขัดข้องหมองใจและความโศกเศร้า คำพูดคำจาต่างๆ นานาคงจะทำให้ระดับบนได้รับรู้บ้าง

เช้าวันหนึ่ง ปลายเดือนธันวาคม ๒๕๐๐ ได้มีคำสั่งประชุมผู้ปฏิบัติงาน นักรบ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน เพื่อทำความเข้าใจในการเข้ารวมลาว รวมทั้งจำนวนผู้ที่จะกลับเป็นกองหนุน

ก่อนจะพูดถึงการจัดตั้งและนำส่ง คณะผู้ดำเนินการประชุมได้เรียนเชิญเสด็จเจ้าสุภานุวงศ์ขึ้นปราศรัย เนื้อความของคำปราศรัยนั้นมีความจับจิตจับใจผู้ฟังดังนี้ว่า

“จุดประสงค์ของการปฏิวัติและเป้าหมายของการต่อสู้ของพวกเราคือ เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติอย่างสมบูรณ์ ด้วยการขับไล่จักรวรรดินิยมผู้รุกราน เพื่อสันติภาพ เอกราช อิสรภาพและเพื่อเอกภาพแห่งชาติ ก้าวไปถึงการโค่นล้มอำนาจการปกครองหุ่น ล้มล้างระบบราชาธิปไตย สถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นมา”

ปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่ากำลังปฏิวัติของพวกเราได้เติบใหญ่ขึ้นและได้รับชัยชนะเพิ่มมากขึ้นแล้วก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบดูกำลังระหว่างพวกเรากับฝ่ายตรงกันข้าม เห็นว่าพวกเรายังไม่อาจสามารถปลดปล่อยประเทศชาติได้ในทันทีทันใด พวกเรายังต้องสืบต่อการต่อสู้ สร้างสมกำลังปฏิวัติในทุกด้าน ก่อนอื่นจะต้องทำให้ประชาชนเผ่าต่างๆ และคนลาวทุกชั้นคนรับรู้ถึงแนวทางนโยบายอันถูกต้องเป็นธรรมของการปฏิวัติเรา และเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะว่ากำลังแรงมหาศาลอยู่ที่ประชาชน พวกเราจะทำอย่างไรเพื่อให้สงครามกู้ชาติได้กลายเป็นสงครามประชาชน หรือเป็นภารกิจของมหาชนอันแท้จริงปัจจุบันประชาชนเผ่าต่างๆ ทั่วประเทศ เช่นที่อยู่ตามท้องนา ตัวเมือง มีกรรมกร นักเรียน นักศึกษา ปัญญาชน และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ยังไม่รู้ถึงแนวทางนโยบายของการปฏิวัติเรา ในเวลาเดียวกันศัตรูระดมโฆษณาใส่ร้ายป้ายสีแนวลาวรักชาติ บิดเบือนความจริง เพื่อปิดหูปิดตาประชาชน พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนกลัวกำลังปฏิวัติและต่อต้านกำลังปฏิวัติ

ในเมื่อกำลังของพวกเรายังอ่อน พวกเราก็ต้องต่อสู้ด้วยยุทธวิธีใหม่ ดังนั้นศูนย์กลางจึงได้กำหนดหน้าที่และวิธีปฏิบัติใหม่คือ ไม่จำเป็นจะปกปักษ์รักษาเพียงสองแขวงที่รวมได้แล้วเท่านั้น แต่ต้องต่อสู้ใหได้จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวแห่งชาติขึ้น ดำเนินแนวทางสันติภาพ เป็นกลาง มอบสองแขวงให้ขึ้นกับรัฐบาลผสมแห่งชาติชั่วคราว จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนเพิ่มเติม โดยมีตัวแทนของแนวลาวรักชาติร่วมสมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนกำลังปฏิวัติของพวกเรา เป็นต้นว่าผู้ปฏิบัติงาน นักรบในกองทัพ และฝ่าย “แนว”(ฝ่ายปกครอง) จะเลือกเอาเพียงแต่ ๑,๕๐๐ คน เพื่อเข้าร่วมในกองทัพแห่งชาติ เหลือจากนั้นให้กลับคืนท้องถิ่น โดยเรียกว่าเป็นกองหนุนและพลเมืองดี”

เมื่อเจ้าสุภานุวงศ์กล่าวจบ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ใบหน้าที่เศร้าโศก บางคนเช็ดน้ำตา บางคนร้องไห้กระซิกกระซี้ เมื่อเห็นบรรยากาศเช่นนั้น เจ้าสุภานุวงศ์ก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า

“ขอให้พวกสหายและอ้ายน้องลูกหลานได้เข้าใจว่า ที่ศูนย์กลางทำเช่นนี้ไม่ใช่พวกเรายุบเลิกกำลังปฏิวัติแล้วไปยอมจำนนต่อศัตรูอย่างใดดอก ต้องเข้าใจว่าศูนย์กลางได้เปิดแนวรบใหม่ นั่นคือ การแยกย้ายกำลังปฏิวัติไปสู่ทุกซอกทุกมุมของประเทศ เพื่อดำเนินการโฆษณา เผยแพร่แนวทางนโยบายอันถูกต้องเป็นธรรม อันเป็นจุดหมายปลายทางของการปฏิวัติเราในหมู่ประชาชนเผ่าต่างๆ ในขบวนข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา และปัญญาชน เพื่อแยกศัตรู ช่วงชิงรวบรวมกำลังปฏิวัติให้เติบใหญ่กว่าเก่า ผ่านการโฆษณามาขวนขวายจัดตั้งกำลัง เห็นว่าสภาพการณ์มันได้สุกงอมแล้ว ศูนย์กลางจะเรียกร้องให้พี่น้องลูกหลานนำพาประชาชนลุกขึ้นต้านกับพวกปฏิกิริยา ตามแนวทางนโยบายและมติคำสั่งของศูนย์กลาง”

เมื่อบรรยากาศสดชื่นแจ่มใสขึ้น ท่านก็กล่าวต่อไปว่า

“เป็นอันแน่นอนที่สุด ในสนามรบก็มีหลายคนจะสามารถสร้างผลงานอันดีเด่น สร้างตนเป็นหลักแหล่งแก่นสารของการปฏิวัติ นำหน้าพาขบวนการปฏิวัติของมหาชนได้รับความเชื่อถือจากมหาชน สามารถสร้างพื้นฐานการปฏิวัติ สร้างกำลังปฏิวัติจากหนึ่งขึ้นเป็นร้อยๆ และหมื่นๆ แต่พวกเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเสียหายได้ เช่นอาจมีผู้ถูกศัตรูจับกุมคุมขัง ทุบตีทรมาน หรือประหารชีวิต พร้อมกันนั้นก็จะมีผู้แปรธาตุเปลี่ยนสี ถูกศัตรูซื้อจ้างกลายเป็นผู้ทรยศต่อการปฏิวัติ ทรยศต่อเพื่อนปฏิวัติ ต่อต้านการปฏิวัติ ต้านกับประชาชน ก็อาจมีจำนวนหนึ่ง เนื่องจากกลัวการเสียสละหรือเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า ก็อาจจะนอนอยู่กับบ้านเฉยๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ไม่ว่าสนามรบใดๆ และขบวนการใดๆ มันก็มีได้มีเสียไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แต่อย่างไรก็ตามลุงและศูนย์กลางมีความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่า พวกเราจะได้รับชัยชนะ และชัยชนะนั้นจะต้องใหญ่กว่าเก่า กำลังปฏิวัติและรากฐานการปฏิวัติจะต้องใหญ่และกว้างขวางกว่าเก่า

พวกสหายและอ้ายน้องลูกหลานอย่าลืมว่า
ศัตรูมันก็มีกลอุบายเล่ห์เหลี่ยมเช่นกัน มันจะฉวยโอกาสนี้ดับสูญกำลังปฏิวัติของพวกเรา พวกมันได้วางคำขวัญไว้ว่า “ต้องล่อเสือออกจากป่า ตัดเล็บเขี้ยวออกหมดแล้ว ก็บีบคอให้มันตายไปทีละคน และดับสูญอย่างสิ้นเชิง”

คำพูดของเจ้าสุภานุวงศ์ในวันนั้น ทำให้พี่น้องที่ร่วมชุมนุมหมดทุกข์และความอึดอัดใจ คำพูดของท่านได้ปรากฏในเวลาต่อมาว่าเป็นความจริง และคำพูดของท่านได้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า พรรคมีนโยบาย มียุทธศาสตร์และยุทโธบายอันถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์แต่ละระยะ แสดงให้เห็นความสามัคคีเป็นปึกแผ่นและเอกภาพในระดับสูงของศูนย์กลางพรรค.

1 comment:

Unknown said...

ขอบคุณครับพี่สำหรับบทความที่ให้ความรู้

เป็นกำลังใจให้พี่ครับ