Friday, April 4, 2008

บทความที่๓๙๒.ภารกิจเสรีไทย(๘)

ภารกิจเสรีไทย
จากบันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันทน์(ชัยสงค์)
เมื่อข้าพเจ้าออกจากทำเนียบท่าช้างนั้น ก็แวะที่บ้านมะลิวัลย์ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั้นเอง เมื่อข้าพเจ้าไปถึงก็ปรากฏว่าบานประตูปิดสนิทเงียบเชียบเสมือนว่าภายในนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย มันเป็นเสมือนบ้านร้าง ข้าพเจ้าตะโกนเรียกคนเฝ้าประตูเสียงลั่น แต่ก็เงียบหาย ลงท้ายก็ปรากฏว่ามีดวงตาของคนภายในบ้านคู่หนึ่ง ค่อยๆ โผล่ออกมาจากช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ภายในบานประตูนั้น พลันก็มีเสียงเอะอะขึ้นมา

“ผู้กองหรือครับ โธ่, ผมนึกว่าใครเสียอีก”

แล้วประตูบานเล็กๆข้างๆ บานประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก เขาผู้นั้นเป็นตำรวจของข้าพเจ้าเองที่ประจำแผนกอารักขาซึ่งหายหน้ามาหลายเดือนแล้ว ข้าพเจ้าถามเขาอย่างเร่งร้อนว่า-

“เชื้ออยู่ไหม?”

“ผู้กองเชื้อหรือครับ? อยู่ครับ เดี๋ยวผมจะไปตามมาให้”

“ไม่ต้องไปตามหรอก อั๊วจะเขาไปหาเอง”

นายสิบตรี ของข้าพเจ้าทำตามเหลือกและแย้งขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า-

“ผมก็แย่สิครับ..เขาไม่ให้ใครเข้ามาในบ้านนี้โดยเด็ดขาดไมว่าจะเป็นใคร”

“ก็อั๊วเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงยังเข้าไม่ได้อีกหรือ?”

เขาส่ายหน้าเดียะแสดงว่าจะอนุญาตไม่ได้ แล้วก็รำพันออกมาว่า

“ตำรวจอารักขาเรามาอยู่ที่นี่เกือบ ๒๐ คน พอเข้ามาแล้วไปไหนก็ไม่ได้เลยครับ จะต้องอยู่ในบ้านนี้ตลอดเวลา..”

“ตายห่า” ข้าพเจ้านึกอยู่ในใจ แล้วจึงถามว่า

“แล้วไม่กลับบ้านไปดูแลครอบครัวบ้างหรือ ?”

“เราไม่มีครอบครัวที่จะต้องดูแลสักคนเดียวครับ, ผู้กำกับท่านคัดคนที่สมัครใจและจะต้องมีคุณสมบัติตามคำสั่งของท่านอธิบดีและโดยเฉพาะจะต้องเป็นผู้ที่เสียสละ..”

“’งั้นก็ไปเที่ยวดูหนังอะไรก็ไมได้นะซี” ข้าพเจ้าซัก

“หนังดูในนี้เลยครับ..”

“ว้า,นี่ยังไงกัน” ข้าพเจ้านึกและย้อนถามเขาไปว่า

“อั๊วเข้าไปไม่ได้แล้วทำไมเชื้อจึงเข้าได้เล่า?”

“นั่นมีคำสั่งพิเศษครับ”

ยังไม่ทันจะกล่าววิสาสะต่อไป ก็ปรากฏเสียงพ่อเชื้อเอะอะอยู่ข้างใน และได้ยินเสียงรองเท้าหนังกระทบก้อนกรวดเล็กๆ ที่พื้นบนถนนนั้นใกล้เข้ามาที่บานประตูนั้น ที่สุดก็มีเสียงถามตำรวจที่เฝ้าประตูนั้นว่า

“เฉียบเรอะ ? ให้เขาเข้ามา”

นั่นแหละข้าพเจ้าจึงได้รับสิทธิย่างเข้าไปในบ้านมะลิวัลย์ พอพ้นประตูเข้าไปเท่านั้นก็เห็นเชื้อ สุวรรณศร ยืนจังก้าอยู่กับชายคนหนึ่งท่าทางทะมัดทะแมง เขาหันไปทางชายผู้นั้นแล้วก็แนะนำขึ้นว่า

“นี่คุณเชื้อ หุ่นจำลอง”

แล้วก็หันมาทางข้าพเจ้า กล่าวแนะนำว่า

“นี่..เฉียบ”

ข้าพเจ้าร้อง “อ้อ” แล้วกรากเข้าไปจับมือเขาเขย่าเสมือนว่าเราได้รู้จักกันมานานปีแล้ว ความสนิทใจเกิดขึ้นเป็นพื้นฐานว่า เราจะต้องร่วมงานและร่วมชีวิตจิตใจกันต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้

“เชื้อ” คนแรกหัวเราะแหะๆ อย่างสบายอารมณ์ตามอัธยาศัยของเขา ส่วน “เชื้อ” คนหลังเงียบขรึมสำเนียงพูดของเขาแม้จะพูดภาษาไทยก็ติดสำเนียงของอเมริกันเป็นเสียกระเส่าๆ เล็กๆ สุ้มเสียงที่ลอดออกมาจากปากของเขานั้นถูกบีบบังคับให้ออกมา ระหว่างช่องฟันที่แคบที่สุดเพราะไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน ข้าพเจ้ากล่าวขึ้นว่า

“ขอโทษครับ คุณไปอยู่อเมริกากี่ปีครับ?”

“๘ ปีครับ”

“โอ้โฮ, คุณทำไมจึงไปอยู่นานเช่นนั้นล่ะครับ?”

“ผมไปเรียนวิศวกรรมรถไฟ..”

“อ้อ”

ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะซักถามอะไรให้มากมายเกินสมควรไปทั้งๆ ที่อยากจะทราบว่าเขาได้เดินทางกลับเข้าประเทศได้โดยวิธีใด เพราะเวลานี้อะไรๆ ก็เป็นความลับไปเสียหมด ถ้าเป็นพ่อเชื้อของข้าพเจ้าแล้วก็พอที่จะไล่เบี้ยได้ แต่นี่เป็น “เชื้อ” อีกคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเพิ่งจะรู้จัก ถ้าไปทำตนเป็นพนักงานสอบสวนเที่ยวไล่เบี้ยเขาแล้วก็จะเป็นเรื่องเสียมารยาทและอาจจะเกิดการเข้าใจผิดขึ้นได้ ในที่สุดข้าพเจ้าก็ทำลายความเงียบขึ้นว่า

“เราจะเดินทางไปเมื่อไหร่ดีล่ะครับ ? นี่คำสั่งย้ายผมก็ยังไม่มาเลย”

“เชื้อ สุวรรณศร” หัวเราะร่าแย่งตอบเป็นเสียงว่า

“เรื่องคำสั่งย้ายลื้อนั้นไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร ลื้อกลับไปที่กองวันนี้ก็จะพบคำสั่งย้ายลื้อและชมคอยหราอยู่ที่กองสันติบาลแล้ว”

“ยังงั้นเทียวรึ?”

ข้าพเจ้าออกอุทานเพราะเห็นว่ามันจะเป็นคำสั่งที่คลอดออกมาอย่างรวดเร็วเกินสมควร เขาชะโงกหน้ามาใกล้ๆข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า

“ขอให้ลื้อเลิกคิดเรื่องคำสั่งย้าย เมื่อวานนี้อั๊วเองเป็นคนถือคำสั่งย้ายลื้อไปที่กรม แล้วกรมเขาก็ส่งไปที่กองสันติบาลเช้าวันนี้ ไม่มีปัญหาอะไรอั๊วได้ไปพบท่านอธิบดีมาแล้วหลังจากที่ได้พบกับลื้อ” เขาอธิบาย

ข้าพเจ้าพบเข้ากับการแสดงกลอีกแล้ว เขาชอบทำอะไรแปลกๆเช่นนี้เสมอ และเขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆเสียด้วย ข้าพเจ้าชะโงกข้ามศีรษะเขาไปมองดูตัวตึกสีไข่ไก่ที่สูงตระหง่านนั้น ดูราวกับเป็นตึกร้าง เพราะไม่ปรากฏว่ามีประตูหรือหน้าต่างบานใดเปิดอยู่เลย ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่าภายในตัวตึกหลังนี้ จะต้องมีอะไรซุกซ่อนอยู่เป็นแม่นมั่น ข้าพเจ้าจึงแกล้งไถลทดลองพูดขึ้นว่า

“เราขึ้นไปคุยกันบนตึกนั่นดีกว่า..” ยังไม่ทันที่จะจบคำพูด ข้าพเจ้าก็ก้าวเท้าตรงไปยังตัวตึกนั้น “เชื้อ” คนแรกกระโดดเข้าจับชายเสื้อข้าพเจ้าดึงไว้แล้วตวาดเอากับข้าพเจ้าว่า

“เฮ้ย, ขึ้นไปไม่ได้ อ้ายห่า ยุ่งอีกแล้ว เดี๋ยวอ้ายฝรั่งเห็นเข้ามันก็จะตกใจหาว่าเราให้ความปลอดภัยไม่พอ..”

ข้าพเจ้าหัวเราะเสียงดัง เพราะเรื่องมันแตกออกมาแล้วว่า พวกฝรั่งที่แอบเข้ามาภายในประเทศของเรานั้นได้รับความคุ้มครองให้อยู่ในตึกหลังนี้เอง เป็นการแน่นอนทีเดียว ภายในตึกหลังนี้จะต้องเป็นที่ซ่อนของอาวุธยุทธภัณฑ์ทั้งหลาย และจะต้องเป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุซึ่งติดต่อไปต่างประเทศ และโดยเฉพาะจะต้องเป็น “กองบัญชาการอย่างแน่นอน ในที่สุดข้าพเจ้าก็หันไปทาง “เชื้อ” วิศวกรรมรถไฟและถามขึ้นว่า

“คุณจะเดินทางไปชุมพรได้เมื่อไหร่ล่ะครับ?”

“ด้านผมพร้อมแล้ว เข้าของเครื่องใช้ต่างๆ ผมก็แพ็กเรียบร้อย และรออยู่นานแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นวันมะรืนนี้เราจะออกเดินทางกันดีไหมครับ?”

ข้าพเจ้ากำหนดการขึ้นโดยไม่ต้องตรึกตรองอะไรให้ยาวความ เพราะข้าพเจ้ามีเวลาพรุ่งนี้อีกวันหนึ่งเพียงพอสำหรับการเตรียมตัวตลอดจนการทำบัญชีพล และการจัดเข้าของเล็กๆน้อยๆ ของข้าพเจ้าเอง

“เชื้อ หุ่นจำลอง” กระโดดเข้ามาจับมือข้าพเจ้าไว้แน่นและกล่าวอย่างเบาๆ ว่า

“ตกลง”

บัดนี้เป็นการแน่นอนแล้ว ข้าพเจ้ากำลังจะก้าวไปสู่ชีวิตแห่งการต่อสู้ที่เป็นการผจญภัยที่แปลกประหลาดโดยไม่เคยคาดฝันมาแต่ก่อน และรู้สึกมันค่อนข้างจะล่อแหลมต่อภยันตรายไม่ใช่น้อย แหละนั่นก็คือ การติดตามวิถีการเมืองของท่านปรีดี พนมยงค์ นั่นเอง

No comments: