Tuesday, April 22, 2008

บทความที่๔๑๐.ท่านปรีดีฯกับขบวนการกู้ชาติลาว (๒๑)

ท่านปรีดี พนมยงค์กับขบวนการกู้เอกราชในลาว ตอน รัฐบาลลาวอิสระพลัดถิ่น ตอนที่ ๑

ในการเดินทางจากลาวเข้ามาลี้ภัยและจัดตั้รัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในประเทศไทยนั้น ช่วงแรกเริ่ม บรรดาผู้มีแนวคิดชาตินิยมมุ่งสรรค์สร้างสังคมลาวให้มีความเป็นเอกราชและเพื่ออธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่อยู่ในเวียงจันทน์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดได้เดินทางขามแม่น้ำโขงมารวมตัวกันที่จังหวัดหนองคาย จากนั้นเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ ในช่วงนั้นมีการใช้เส้นทาง ๓ เส้นทางด้วยกันคือ เส้นทางน้ำโขงจากหลวงพระบางไปยังอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย, เส้นทางจากเวียงจันทน์มายังหนองคายและกรุงเทพฯ และเส้นทางบกจากหลวงพระบางไปยังเมืองไชยะบุลีและเมืองปากลาย จากนั้นเข้าสู่ชายแดนไทยที่อำเภอฟากท่า จังหวัดอุตรดิตถ์

คณะที่ข้ามทางทางด้านจังหวัดหนองคายคือคณะของอุ่น ชะนะนิกอน สีลา วีระวงส์ อำพอน พลราช เจ้าสุวันนะพูมา ฯลฯ

สำหรับเจ้าเพ็ดชะลาดและคณะอันประกอบด้วย เจ้าคำตัน เจ้าคำผาย และผู้ติดตามอีกประมาณ ๔๐ คน ได้ขี่ม้าออกจากเมืองหลวงพระบางในวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ฝรั่งเศสได้ส่งทหารกระโดดร่มลงที่ทุ่งนาบ้านเมืองขาย แล้วบุกค้นวังเชียงแก้ว ทว่าไม่พบตัวเจ้าเพ็ดชะลาด จึงให้เครื่องบินออกไล่ล่าสังหาร

เจ้าเพ็ดชะลาดชอบเดินป่าและเคยดินทางตรวจราชการในพื้นที่ชนบท จึงรู้จักเส้นทางซับซ้อนแถบนั้นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางที่ชาวม้งใช้ในการลำเลียงฝิ่นเข้าสู่ประเทศไทย บางช่วงเดินป่าไต่สันเขาไปตามเส้นทางที่ทอดเชื่อมระหว่างหมู่บ้านม้ง บางช่วงใช้เส้นทางน้ำกระทั่งเข้าสู่เมืองไชยะบุลี มีผู้เดินทางมาร่วมสมบทคือเจ้าบุนยะวัด เจ้าแขวงเมืองหลวงพระบาง และพัตรี อ้วน ราทิกุล จากนั้นเข้าสู่เมืองปากลาย และเข้าสู่เขตแดนไทยที่อำเภอฟากท่า จังหวัดอุตรดิตถ์ในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ ในเวลาเดินป่าถึง ๑ เดือนเต็ม

เมื่อเข้าสู่ดินแดนไทย เจ้าเพ็ดชะลาดได้พักที่บ้านข้าราชการฝ่ายปกครอง คือบ้านนายอำเภอฟากท่า นายอำเภอลับแล นายอำเภอแสนตอ กำนันสบน้ำปาด และกำนันบ้านด่าน ก่อนจะพบกับพันเอก ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาลของท่านปรีดี พนมยงค์ ที่เดินทางขึ้นไปตรวจราชการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ จากนั้นเจ้าเพ็ดชะลาดได้ขอยืมเงินข้าหลวงจังหวัดอุตรดิตถ์เดินทางลงมายังกรุงเทพฯ

เจ้าเพ็ดชะลาดได้ให้เจ้าคำตันย้อนขึ้นไปทางหนองคาย เจ้าสมสนิทได้หลบจากเวียงจันทน์เอาเสื้อผ้ามาส่งให้ แล้วเดินทางพร้อมกับทหารและผู้ติดตามไปยังจังหวัดพิษณุโลก เข้าพักที่บ้านข้าหลวงนายพรมสูตรสุคนธ์ ก่อนจะเดินทางเข้ามาสมบทกันที่กรุงเทพฯ

นอกจากนั้นยังมีผู้ติดตามมาสมบทในภายหลังอีกจำนวนหนึ่ง คือคณะของท้าวคำเหล็กและสมาชิกลาวอิสระจากหลวงพระบาง ที่ถ่อเรือทวนแม่น้ำโขงมายังเชียงแสน จังหวัดเชียงราย อีกส่วนหนึ่งล่องเรือจากหลวงพระบางมายังอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทน์ในปัจจุบัน จากนั้นเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ

เมื่อเจ้าเพ็ดชะลาดมาถึงกรุงเทพฯ นายปรีดี พนมยงค์ ได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี โดยให้พันเอก ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีมหาดไทย จัดบ้านพักให้หลังหนึ่งที่ตำบลบางกะปิ ซึ่งในเวลานั้นอยู่ในเขตอำเภอพระโขนง และต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ซอยงามดูพลี พร้อมกันนี้ท่านผู้หญิงพูนศูข พนมยงค์ ได้ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยให้หม่อมอภิณพร บุตรสาวของนายเชื้อ ยงใจยุทธไปช่วยทำหน้าที่ติดต่อประสานทั้งเป็นแม่บ้านคอยดูแล และต่อมาได้เป็นชายาของเจ้าเพ็ดชะลาด

นอกจากนี้ นายปรีดี พนมยงค์ ยังได้จัดที่พักให้สมาชิกลาวอิสระอีกหลายคนได้พักอาศัยคือ บ้านคิงส์ดอนที่ปากซอยสาธร๑ สำหรับเป็นที่พำนักของเจ้าสุวันนะพูมาและคณะผู้ติดตาม อีกหลังหนึ่งคือบ้านไม้สองชั้นในซอยพิกุล สาธร ๙ สำหรับเป็นที่พำนักของเจ้าสุพานุวงและสมาชิกอิสระจำนวนหนึ่ง

ส่วนครอบครัวกระต่าย โตนสะโสลิด รองนายกรัฐมนตรีรัฐบาลลาวอิสระ ผู้ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พันเอกช่วง เชวงศักดิ์สงคราม ได้เช่าบ้านของ ร.ต.อ.เชื้อ สุวรรณศร คือบ้านไชโย ที่หัวลำโพงให้เป็นที่พำนัก

ในช่วงเวลานั้นมีบรรดานักกู้เอกราชของลาวเข้ามาลี้ภัยอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก ต่มามีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๙ โดยมีเจ้าเพ็ดชะลาดเป็นนายกรัฐมนตรี เจ้าสุวันนะพูมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีโยธา ฯลฯ สำหรับเจ้าสุพานุวง นอกเหนือจากดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศแล้ว ยังมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าสุพานุวงได้ก่อตั้งกองกำลังผสมลาว-เวียดนามขึ้นที่เมืองท่าแขก ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๘ และมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหาร

ส่วนในด้านงบประมาณ รัฐบาลลาวพลัดถิ่นในกรุงเทพฯ ต้องพึ่งตนเอง ทุนรอนในการดำเนินการกู้ชาติได้มาจากการจำนำทรัพย์สินตามโรงจำนำต่างๆ โดยทรัพย์สินเหล่านี้เจ้าเพ็ดชะลาดนำติดตัวมา ส่วนเงินที่นำมาใช้ซื้ออาวุธนั้นหม่อมอภิณพรได้กู้ยืมเงินจากหลวงเสรีเริงฤทธิ์เป็นจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมกันนี้ก็แสวงหาการสนับสนุนช่วยเหลือจากแหล่งต่างๆ

แม้จะได้รับเงินช่วยเหลือส่วนหนึ่งจากนายปรีดี พนมยงค์ และพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ แต่ก็เป็นเพียงจำนวนน้อยเพราะมิใช่เป็นการช่วยเหลือในนามรัฐบาล กอปรกับการที่มีสมาชิกอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากทำให้มีรายจ่ายมาก ต้องดิ้นรนแสวงหาทุนทรัพย์จากแหล่งต่างๆ อีกทั้งต้องเก็บออมเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อหาอาวุธเพื่อกู้ชาติ สมาชิกในรัฐบาลลาวอิสระพลัดถิ่นหลายคนต้องออกไปทำงาน

No comments: