Wednesday, April 9, 2008

บทความที่๓๙๕.ภารกิจเสรีไทย (๙)

ภารกิจเสรีไทย
จากบันทีกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันทน์ (ชัยสงค์)
ณ สถานีรถไฟธนบุรี คุณเฉียบและคณะ ได้แก่ ชมและเชื้อ หุ่นจำลอง ได้ขึ้นรถไฟขบวนรถด่วนสายใต้ เขาได้พบกับข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพร คือ “หลวงอุตรดิตถาภิบาล(เนื่อง ปาณิกบุตร)” ซึ่งเป็นเพื่อนกับบิดาบุญธรรมของเขา คุณเฉียบได้บันทึกไว้ว่า

ข้าพเจ้ายิ้มระรื่นอยู่ภายในทรวงอก เพราะสมใจข้าพเจ้าแล้ว สมองตวัดไปถึงคำพูดของท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ได้สั่งการแก่ข้าพเจ้าเมื่อวานซืนนี้เอง ให้ข้าพเจ้าพยายามเข้าร่วมมือกับข้าหลวงประจำจังหวัดแล้วกิจการงานก็จะสามารถขยายตัวออกไปได่อย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ช่างเป็นกุศลของข้าพเจ้าเสียจริงๆ เพียงแต่ข้าพเจ้าคิดรำพึงอยู่ว่าข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพรนั้นจะเป็นใครหนอ และกำลังเป็นทุกข์อยู่ว่า จะสามารถเข้าร่วมงานกันได้เพียงใดนั้น ก็บังเอิญได้พบกับข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพรโดยไม่คาดฝัน ข้าพเจ้ามีความไว้วางใจท่านข้าหลวงคนนี้เท่ากับที่ข้าพเจ้าพึงมีความไว้วางใจบิดาของข้าพเจ้าเอง

ข้าพเจ้าเชื่อฝีมือของท่านข้าหลวงคนนี้ เพราะข้าพเจ้าได้เคยเห็นวิญญาณในการต่อสู้มาแล้ว และยังจได้ว่าท่านผู้นี้เคยเข้าทำการต่อสู้ยิงโต้ตอบกับ “อ้ายเสือม้วน” แห่งราชบุรีและอีกหลายเสือในยุคนั้น วิสามัญฆาตกรรมได้เกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็ยังได้ไปดูศพผู้ร้ายซึ่งจบลงด้วยฝีมือของท่านข้าหลวงคนนี้ แน่นอนและไม่ต้องสงสัยอะไรเลย ท่านเป็นนักต่อสู้ เป็นนักรบซึ่งจะร่วมมือกับเราได้ในการต่อสู้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น-กองทหารเสือของ “ยามาชิตะ” ณ คอคอดกระนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ท่านข้าหลวงของข้าพเจ้าเพ่งมองดูลังไม้ฉำฉาใบใหญ่ที่สุดของเรา ๓-๔ ใบที่ ส.ต.อ.ชม แสงเงินและเชื้อ หุ่นจำลอง กำลังซุกมันเข้าใจ้ที่นั่ง แล้วก็หันมาทางข้าพเจ้าเสมือนกับจะถามข้าพเจ้าว่าในนั้นมันมีอะไร ท่วงท่าของมันจึงได้หนักเอาการ ราวกับว่ามันเป็นเหล็กเป็นไหล ข้าพเจ้ายิ้มตอบน้อยๆ แล้วเสตัดบทโดยการแนะนำเสียว่า

“นี่ ส.ต.ท.ชม แสงเงิน ลูกน้องผมครับ..แล้วก็นี่คุณเชื้อ เพื่อนผมกำลังจะไปเที่ยวที่ชุมพรกับผม..”

ท่าข้าหลวงฯ หัวเราะกับข้าพเจ้าด้วยแววตาอันมีเลศนัย เพราะคงจะสะดุดว่าในยามที่เครื่องบินสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดวุ่นวายไปทั้งประเทศเช่นนี้ เพื่อนของข้าพเจ้าก็จะไปเที่ยวด้วยหรือ ช่างมีศรัทธาเสียเหลือเกิน ท่านนิ่งไปชั่วระยะหนึ่งก็กล่าวขึ้นเบาๆ กับข้าพเจ้าว่า

“ถ้ามีเรื่องอะไรคุณเฉียบก็บอกผมก็แล้วกัน เราจะได้ช่วยกัน”

ยังมิทันจะจบคำพูด ท่านก็ส่งสายตาไปยังกางเกงขายาวตัวที่ “เชื้อ หุ่นจำลอง” สวมอยู่นั้น ทำให้ข้าพเจ้าต้องมองตาม แล้วก็ต้องเอะใจขึ้นทันที เพราะข้าพเจ้าได้ขาดความรอบคอบไปเสียแล้ว มิน่าเล่าท่านข้าหลวงจึงได้กล่าวเช่นนั้น กางเกงตัวนั้นมันเป็นกางเกงทรงอเมริกันซึ่งไม่มีใครใช้กันในประเทศ และปรากฏชัดว่ามันเป็นของใหม่และสะดุดสายตาของคนไทยภายในประเทศที่ยังไม่เคยเห็นกางเกงทรงนี้มาแต่ก่อน ที่ขาก็มีการเดินตะเข็บคู่แล้วก็เป็นทรงที่ตึงเป๊ะ อะไรๆ ก็ดูมันสะดุดสายตาไปทั้งตัว ข้าพเจ้าฉุด “เชื้อ หุ่นจำลอง” ให้นั่งลงใกล้ๆกับข้าพเจ้าแล้วก็ไถลไปเสียเรื่องอื่น

เมื่อรถไฟหยุดลงที่สถานี “หนองปลาดุก” ซึ่งเป็นสถานีที่ญี่ปุ่นได้สร้างขึ้นใหม่เป็นชุมทางแยกไปประเทศพม่าซึ่งเรียกทางรถไฟสายนี้ว่า “สายมรณะ” นั้น ข้าพเจ้าได้โผล่หน้าต่างรถไฟออกมาก็พบเข้ากับฝูงเชลยศึกหลายร้อยคน ซึ่งมีทหารญี่ปุ่นยืนถือปืนเล็กยาวติดดาบปลายปืนควบคุมอยู่เป็นระยะๆ พวกเชลยศึกเหล่านี้ล้วนเป็นพวกฝรั่งทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อ จึงมองเห็นผิวกายของเขาที่กรำแดดนั้นเป็นสีกุ้งต้ม บ้างก็มีขนรุงรังที่หน้าอก บางคนก็ตัดกางเกงของตนเองให้กลายเป็นกางเกงขาสั้น ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจว่าอากาศในประเทศของเราคงจะร้อนมากพอที่บังคับให้เข้าทำเช่นนั้น เมื่อสอบถามราษฎรที่ชานชลานั้นก็ทราบว่าเป็นทหารอังกฤษและออสเตรเสียถูกจับส่งมาจากสิงคโปร์ ซึ่งพวกเหล่านี้ได้ยอมแพ้โดยปราศจกาเงื่อนไขบางคนก็ทำอาการใบ้โดยเอานิ้วชี้ของตนจุ้มเข้าไปในปากของตนเอง ซึ่งเป็นเครื่องหมายว่าเขาต้องการสูบบุหรี่ ข้าพเจ้าก็ไม่มีบุหรี่ที่จะแจกเขา เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่นักสูบบุหรี่ แต่ก็มีผู้โดยสารในขบวนรถไฟนั้นหลายสิบคนโยนบุหรี่ลงไปให้ ส่วนข้าพเจ้านั้นก็ได้โยนข้าวหลามที่ซื้อมาจากนครปฐมลงไปให้จนหมดมัด

เชลยศึกเหล่านี้จะค่อยๆกระเถิบเข้ามาใกล้ขบวนรถไฟเพื่อรับของแจกจากคนโดยสาร แต่ก็ต้องคอยหลบทหารญี่ปุ่นซึ่งเอะอะเอา ด้วยสายตาแห่งมนุษยธรรมแล้วก็รู้สึกว่าเป็นอาการที่น่าวเทนายิ่งนัก ข้าพเจ้าก็เคยทราบว่าพฤติการณ์ที่ควบคุมพวกเชลยศึกฝรั่งที่หนองปลาดุกนี้ยังเป็นการดีหนักหนา ถ้าเป็นที่ฮ่องกงหรือที่สิงคโปร์แล้ว พวกฝรั่งจะถูกประจานโดยถูกบังคับให้ล้างท่อและกวาดถนนแทนชาวพื้นเมืองที่เขาเคยกดขี่เอาเป็นเมืองขึ้น ญี่ปุ่นก็โฆษณาว่า “เอเซียสำหรับคนเอเซีย” ถ้าฟังดูเผินๆ ข้าพเจ้าก็เกือบจะเห็นพ้องด้วย แถต่ถ้าคิดให้ลึกไปอีกสักนิดแล้วก็จะยังไม่ตรงกับคำว่า “บ้านใครๆอยู่อู่ใครๆนอน” เพราะเหตุว่าเพียงแต่ปลดแอกจากพวกฝรั่งแล้วก็เอาแอกของญี่ปุ่นเข้ามาแทนที่ ซึ่งก็ปรากฏชัดอยู่ว่าญี่ปุ่นได้ตั้งกระทรวงขึ้นใหม่อีกกระทรวงหนึ่ง นั่นคือกระทรวงอาณานิคมสำหรับปกครองดินแดนที่ยึดได้ใหม่เหล่านี้แม้แต่ประเทศสยามซึ่งเคยดำเนินการติดต่อเป็น “มหามิตร” โดยได้เซ็นสัญญาร่วมรบร่วมรุกก็ดี แต่เอกอัครราชทูตสยามที่กรุงโตเกียวนั้นไม่มีสิทธิที่จะเข้าทำการติดต่อกับกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น หากแต่ถูกผลักไสให้ไปติดต่อกับกระทรวงอาณานิคม นี่หมายความว่ากระไร? ข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้จะสามารถยืนยันได้จากนายดิเรก ชัยนาม ผู้ซี่งมีหน้าที่อยู่ในยามนั้น

ท่าทางของทหารญี่ปุ่นภายใต้ “หมวกลิง” ที่เขาสวมอยู่นั้นทะมัดทะแมงไม่ใช่เล่น เขาตวาดพวกเชลยศึกเหล่านั้นอย่างจ้าวเหนือหัว ทำให้ข้าพเจ้านึกสมเพทและสงสารพวกเชลยศึกเหล่านั้นอย่างจับใจ นี่หรือเชลยศึกที่ถูกจับมาโดยฝีมือของกองพลยามาชิตะซึ่งโจมตีสิงคโปร์จนได้รับฉายาว่าเป็ฯ “กองพลทหารเสือ” ข้าพเจ้าหนักอึ้งอยู่ภายในอกเพราะอะไรเล่า? ไม่ใช่อื่นไกลเลย เพราะว่าข้าพเจ้ากำลังจะเดินทางไปอยู่ท่ามกลางกองพลทหารเสือ ซึ่งเป็นกองพลเดียวกับที่จับเชลยศึกเหล่านี้มา ข้าพเจ้าจะต้องทำหน้าที่ดั่ง “จารกรรม” เพื่อรายงานข่าวตามความประสงค์ของสัมพันธมิตร และนอกจากนั้นข้าพเจ้าจะต้องจัดตั้ง “กองทัพของประชาชน” ขึ้น เพื่อทำการรบกับกองพลทหารเสือนี้ มันช่างเป็นงานที่หนักและอันตรายอย่างยิ่ง

No comments: