Monday, May 7, 2007

บทความที่ ๑๒๖.บันทึกของ ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันท์ ตอนที่ ๘ (จบ)

ลาจากยอดขุนพลแห่งภูพาน 'เตียง ศิริขันธ์'

ข้าพเจ้าผละจากสิงห์โตและบัว ตรงไปที่บ้านไม้ยกพื้นสูงหลังถัดไป ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจว่าตามปกติแล้วเป็นบ้านพักของนายทหาร พอโผล่หน้าขึ้นไปเท่านั้น ขุนพลแห่งภูพานก็ร้องทักข้าพเจ้าอย่างลิงโลดว่า

“เป็นอย่างไรบ้างน้องชาย...?”

ข้าพเจ้าตรงเข้าไปจับมือเขาเขย่าอย่างแรงก่อนตอบเขาว่า

“ถ้ามันแย่..”

ขุนพลแห่งภูพานหัวเราะอย่างดังแล้วกล่าวว่า.-

“ผมจะกลับไปสกลนครพรุ่งนี้ ไปกับผมไหม ?”

“ข้าพเจ้าเอียงคอด้วยฉงนใจว่าทำไมเขาจึงกล่าวชวนข้าพเจ้าเช่นนั้น เหมือนกับจะรู้เชิง เขาได้อธิบายอย่างเปิดอกว่า

“ผมจะกลับไปยึดอีสาน...เตรียมตัวรบ เราจะไม่ขึ้นต่อรัฐบาลของพวกรัฐประหารนี้ เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผมจะประกาศอิสานเป็นรัฐอิสระ...จนกว่าเราจะได้รัฐบาลของประชาชนอย่างแท้จริง-

“เอาอย่างนั้นเทียวหรือ ?”

ข้าพเจ้าร้องถามอย่างทึ่งเหลือกำลัง เขาตอบอย่างเร็วว่า

“เอายังงั้นซิ ไปกับผมไหม เราไปทำการรบแบบพลพรรคที่อิสาณ...?”

ข้าพเจ้านิ่งงงในคำถามที่เขาอุตส่าห์ชวนข้าพเจ้าถึงสองครั้ง ข้าพเจ้าได้ผ่านโรงเรียนนายร้อยทหารบกมาแล้ว พอจะเข้าใจว่าการรบนั้นเขามีวิธีทำกันอย่างไร ? และได้ผ่านกิจการของตำรวจมาแล้วทุกด้าน ก็มีความเข้าใจดีว่าวิธีการของตำรวจนั้นเขาทำกันอย่างไร ? ทำให้ข้าพเจ้าลังเลใจที่จะตอบตามคำชวนของขุนพลแห่งภูพาน จึงได้ย้อนถามเขาไปประโยคหนึ่งว่า

“นี่ พี่ชาย,ผมขอทราบก่อนว่า พี่ชายกลับขึ้นไปสกลนครแล้วจะประกาศตูมออกมาทีเดียวหรือ, หรือว่าจะต้องคอยการกระทำทางนี้เสียก่อน... แล้วจึงค่อยผสม ?”

เขานิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่งจึงตอบข้าพเจ้าว่า“เราต้องคอยทางกรุงเทพฯนี่ซิ เมื่อกรุงเทพฯ ตึงตังกันแล้ว ทางอิสาณจึงจะประกาศตูมออกมา..”

ข้าพเจ้าพยักหน้าเป็นการแสดงว่าได้เข้าใจแล้วจึงได้ตอบไปว่า

“ผมได้รับคำสั่งท่านปรีดให้ผมเข้ายึดกรมตำรวจแล้ว”

“อ้าว,ยังงั้นเรอะ ถ้างั้นก็ไม่ต้องไป ผมจะขึ้นไปดำเนินการเอง”

ข้าพเจ้าเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่เขามีวิญญาณในการต่อสู้ ส่วนข้าพเจ้านั้นหลับตานึกภาพแผนที่แห่งประเทศสยามขึ้นอย่างเงา ๆ สกลนครอยู่ถึงอิสาณ ทางหนีทีไล่อะไรจะต้องเดินป่าบุกดังทั้งสิ้น โดยเฉพาะสยามเป็นแผ่นดินผืนเล็ก ๆ เมื่อเป็นฝ่ายปราชัยต้องการออกนอกประเทศก็อาจจะออกนอกประเทศไม่ได้

ข้าเจ้าไม่มั่นใจว่าคนไทยจะตื่นตัวพร้อมที่จะทำสงครามกลางเมือง เพราะจะต้องอดทนเป็นเวลาอันยาวนาน ยึดอำนาจกันครั้งใดก็เห็นแต่ต้องใช้ยุทธวิธี“รัฐประหาร” กันส่วนจังหวัดที่ติดกับฝั่งทะเลนั้นถ้ามีเรือแล้วจะไปทางไหนก็สะดวกไปหมดเสียทุกทาง ยุทธศาสตร์แห่งการถอยก็แจ่มใสกว่าทางอิสาณ โดยเฉพาะก็คือว่าข้าพเจ้าไม่มั่นใจว่าเหตุการณ์ “ตึงตัง” ของขุนพลแห่งภูพานที่ได้กล่าวถึงนั้นจะเกิดขึ้นอย่างจริงจัง เพราะข้าพเจ้าได้ประสบการณ์ขัดแย้งกันมาแล้ว หรือถ้าเกิดขึ้นจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางคือมีชัยต่อชาวรัฐประหารนั้นได้เพียงใด เหล่านี้เป็นปัญหาที่หนักอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ามองดูขุนพลแห่งภูพานเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางขนาดจิ๋วเตรียมตัวจะเดินทางเช้ามืดวันพรุ่งนี้ อาการของเขากระฉับกระเฉง ปากก็เอะอะพูดภาษาไทยอิสาณกับลูกน้องที่มาด้วย จับเค้าได้ว่าให้เตรียมตัวเดินทางไว้ให้เรียบร้อยเพราะจะได้เดินทางไปสกลนครแต่เช้ามืดทีเดียว ในที่สุดเขาก็เหลียวมาคุยกับข้าพเจ้าอีกว่า

“รัฐประหารนี้ มันเกิดขึ้นจริง ๆ อย่างที่คุณเฉียบว่าแฮะ สันติบาลนี่ไม่เลว..”

“พี่ชายไม่เชื่อผมใช่ไหมล่ะ” ข้าพเจ้ารุก

เขาตอบอย่างเร็วว่า

“ไม่ใช่ไม่เชื่อ ก็เพราะผมเชื่อคุณนะซิผมจึงไปขนอาวุธเสรีไทยมาจากสกลนครหนึ่งรถตู้ มอบให้หลวงสังวรณ์เพื่อเตรียมการปราบกบฏ ท่านก็เอาเก็บไว้ที่กรมสารวัตรทหารก็เลยถูกพวกรัฐประหารยึดเอาไปหมดเลย..เสียท่าจริง ๆ...”

ข้าพเจ้าหัวเราะอย่างขบขันแทนคำตอบ ฟังเขากล่าวต่อไปอีก

“แต่ไม่เป็นไร, อาวุธของเรายังเหลืออยู่อีก พอได้เล่นกัน...ผมจะต้องไปตรวจดูสนามบินลับและฐานทัพของเราด้วยว่าอยู่ในสภาพเดิมหรือว่าปล่อยให้รก เสือเข้าไปอาศัยอยู่เสียแล้ว”

ข้าพเจ้ายิ้มรับคำกล่าวแกมตลกนั้น และอดอยู่ไม่ได้จึงบุ้ยปากไปทางเรือนพักของท่านอาจารย์ปรีดีแล้วตั้งคำถามขึ้นว่า

“ท่านรู้หรือเปล่า ?”

“อ้าวแล้วกัน, ก็ปรึกษากันแล้วนะซิ ผมได้ปรึกษากับอาจารย์ก่อนที่คุณจะมาถึงที่นี่ เมื่อวานนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว...”

“สมมติว่าถ้าทางกรุงเทพฯ ไม่พร้อมที่จะรบ คุณมิค้างเติ่งหรือ ?”

“ไม่ค้าง จะค้างได้อย่างไรเพราะอาจารย์อยู่ที่นี่” เขาตอบอย่างเชื่อมั่น

ข้าพเจ้าอยากจะคำนับเขาในความมั่นคงของเขา แต่เอาเก็บไว้ก่อน เอาเพียงแต่คำนับกันภายในจิตใจไปพลางก่อน มิน่าเล่าชาวสกลนครจึงได้มีความมั่นใจ เชื่อถือเขาราวกับว่าเขาเป็น “พ่อเมือง” ในยุคโบราณ เลยปรากฏว่าเขาผู้นี้เคยสมัครผู้แทนราษฎรโดยมิต้องโฆษณาให้เหนื่อยยากเลย แต่คะแนนของเขามาอย่างสูงลิบซึ่งไม่มีใครจะบังอาจท้าทายเขาได้.

ข้าพเจ้าคงค้างที่สัตตหีบหนึ่งคืน นอนเตียงติดกันกับยอดขุนพลแห่งภูพาน คุยกันถึงเรื่องราวอันซับซ้อนทางการเมือง การเสียสละของนักการเมือง และเรื่องราวแห่งการฉวยโอกาสของบรรดานักกินเมืองทั้งหลาย ตลอดจนเกล็ดและกลยุทธต่าง ๆ ของพวกแสวงหาโชคทางการเมือง เขาคุยจ้อข้างเดียว และในที่สุดเขาก็คุยให้ข้าพเจ้าซึ่งหลับไปแล้วฟังเรื่อยไปโดยไม่ทราบว่าเขาได้คุยเรื่องอะไร เพราะข้าพเจ้าอ่อนเพลียมาทั้งร่างกายและจิตใจจึงเข้าสู่ภวังค์ได้โดยง่าย อากาศชายทะเลโชยเข้ามาทางหน้าต่างซึ่งกั้นผ้าบังตาสีขาวนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าช่างสดชื่นราวกับอยู่ที่บังกาโลที่หัวหิน ผิดแต่ว่าอากาศในยามนี้ติดจะหนาวไปเสียสักหน่อย

เขาแหวกมุ้งปลุกข้าพเจ้าแต่เช้ามืด และพูดอย่างค่อย ๆ ว่า

“ผมไม่ก่อนละนะ...คุณเฉียบ”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นอย่างงัวเงียแต่บัดนี้เขาจะจากไปแล้ว และจะไปปฏิบัติงานด้วยการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าสลัดความงัวเงียนั้นออกไปโดยพลัน ลุกขึ้นสัมผัสมือเขาอย่างหนักแน่นและให้พรเขาว่า

“ขอให้คุณได้รับความสำเร็จทุกประการ...”

เขายิ้มอย่างสดชื่น และพึมพำเบา ๆ ว่า “สำเร็จซิหนะ” แล้วเขาก็จากข้าพเจ้าไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งถัดไปซึ่งท่านปรีดีพักอยู่ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาได้เข้าไปร่ำลาท่านก่อนจะเดินทางไป,อนิจจา “เตียง” ของข้าพเจ้า เขาได้ไปแล้ว,เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พบเห็นกันในชั่วชีวิตนี้ เขาได้จากเวทีแห่งการต่อสู้ไปแล้วซึ่งข้าพเจ้ามั่นใจว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมานอนเตียงใกล้ๆ และคุยกับข้าพเจ้าดั่งที่สัตตหีบนี้อีกเป็นแม่นมั่น

เขาเป็นบุรุษผู้ซื่อสัตย์ เป็นนักการเมืองที่แท้จริงและยากจนเหลือประมาณ เขามีแต่ชื่อที่เกริกก้อง และมีความสามารถทางการเมืองอย่างที่จะหาตัวจับยาก เขาได้ไปแล้วและจะไม่กลับมาพบข้าพเจ้าอีก ...ยอดขุนพลแห่งภูพาน

No comments: