ตุลาแดงรำลึก
เรียบเรียงจากหนังสือประวัติรัฐธรรมนูญ ของคุณสุพจน์ ด่านตระกูล
-๗-
ต่อมาในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๐๐ ได้มีการประกาศยกเลิกตำแหน่ง”ผู้บัญชาการฝ่ายทหาร” และวันที่ ๑๔ ต่อมาได้ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน และต่อมาอีก ๕ เดือนหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหารจำนวนหนึ่ง ได้มีหนังสือขอให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ ๑๒ กันยายน ๒๕๐๐ แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ยอมลาออก กลับเข้าเฝ้าเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชโองการปลดจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในตอนเช้าวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ แต่ไม่ทรงโปรด
ในเช้าคืนวันนั้นเอง ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในนามของ “คณะทหาร” ได้ทำการยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามและนับแต่บัดนั้นอำนาจการปกครองแผ่นดินอยู่ในกำมือของ “คณะทหาร” (ดูรายละเอียดได้จาก “พลิกแผ่นดิน” ของประจวบ อัมพเศวต ของสำนักพิมพ์สุขภาพใจ)และฐานะของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยิ่งมั่นคงยิ่งขึ้นเมื่อได้มีพระบรมราชโองการเป็นส่วนพระองค์ ในคืนรัฐประหารนั้นเอง (เพราะไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ) แต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ผู้ใช้กำลังอาวุธล้มล้างรัฐบาลเยี่ยงอนารยชน เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ดังสำเนาพระบรมราชโองการต่อไปนี้
ฉบับพิเศษ หน้า ๑
เล่ม ๗๔ ตอนที่ ๗๖ ราชกิจจานุเบกษา ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐
ประกาศพระบรมราชโองการ
ตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร
------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
เนื่องด้วยปรากฏว่า รัฐบาลอันมี จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ทั้งไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ คณะทหารซึ่งมี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองไว้ได้ และทำหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ข้าพเจ้าจึงขอตั้งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ขอให้ประชาชนทั้งหลายจงอยู่ในความสงบ และให้ข้าราชการทุกฝ่ายฟังคำสั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๐
ต่อมาในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๐๐ ได้มีการประกาศยกเลิกตำแหน่ง”ผู้บัญชาการฝ่ายทหาร” และวันที่ ๑๔ ต่อมาได้ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน และต่อมาอีก ๕ เดือนหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหารจำนวนหนึ่ง ได้มีหนังสือขอให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ ๑๒ กันยายน ๒๕๐๐ แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ยอมลาออก กลับเข้าเฝ้าเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชโองการปลดจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในตอนเช้าวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ แต่ไม่ทรงโปรด
ในเช้าคืนวันนั้นเอง ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในนามของ “คณะทหาร” ได้ทำการยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามและนับแต่บัดนั้นอำนาจการปกครองแผ่นดินอยู่ในกำมือของ “คณะทหาร” (ดูรายละเอียดได้จาก “พลิกแผ่นดิน” ของประจวบ อัมพเศวต ของสำนักพิมพ์สุขภาพใจ)และฐานะของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยิ่งมั่นคงยิ่งขึ้นเมื่อได้มีพระบรมราชโองการเป็นส่วนพระองค์ ในคืนรัฐประหารนั้นเอง (เพราะไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ) แต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ผู้ใช้กำลังอาวุธล้มล้างรัฐบาลเยี่ยงอนารยชน เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ดังสำเนาพระบรมราชโองการต่อไปนี้
ฉบับพิเศษ หน้า ๑
เล่ม ๗๔ ตอนที่ ๗๖ ราชกิจจานุเบกษา ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐
ประกาศพระบรมราชโองการ
ตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร
------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
เนื่องด้วยปรากฏว่า รัฐบาลอันมี จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ทั้งไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ คณะทหารซึ่งมี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองไว้ได้ และทำหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ข้าพเจ้าจึงขอตั้งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ขอให้ประชาชนทั้งหลายจงอยู่ในความสงบ และให้ข้าราชการทุกฝ่ายฟังคำสั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๐
หมายเหตุ ประกาศพระบรมราชโองการฉบับนี้ไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงเป็นผู้รับผิดชอบด้วยพระองค์เอง เช่นเดียวกับกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก่อน ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ซึ่งถือเป็นโมฆะตามมาตรา ๗ ของธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ อันเป็นเสมือนสัญญาประชาคมระหว่างสถาบันกษัตริย์กับราษฎรไทย
โดยที่การทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครั้งนี้ไม่ได้ประกาศฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ หากให้คงใช้ต่อไป โดยมีเงื่อนไขตามพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๐๐ ดังนี้
“..(ก) ให้สมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนราษฎรของสมาชิกประเภทที่ ๑ และสมาชิกประเภทที่ ๒ สิ้นสุดลงในวันประกาศพระบรมราชโองการนี้
(ข)ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ ๑ ภายในเก้าสิบวัน นับตั้งแต่วันประกาศพระบรมราชโองการนี้
(ค)จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ ๒ จากบุคคลซึ่งทรงเห็นสมควร มีจำนวนไม่เกิน ๑๒๓ คน ในวันและภายหลังวันประกาศพระบรมราชโองการนี้
ในระหว่างที่สมาชิกประเภทที่ ๑ ยังไม่ได้รับหน้าที่ ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกประเภทที่ ๒ ไปพลางก่อน
(ง)ก่อนที่จะได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นหน้าที่ของผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ...
พระบรมราชโองการฉบับนี้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และต่อมาได้แต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ ๒ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๐๐ จากบุคคลที่เห็นสมควร โดยเป็นบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้วางพระทัย จึงทรงเห็นสมควรแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ จำนวน ๑๒๑ นาย ในจำนวนนี้ เป็นทหารบก ๗๓ นาย เป็นทหารเรือ ๑๕ นาย เป็นทหารอากาศ ๑๖ นาย เป็นตำรวจ ๓ นาย นอกนั้นเป็นข้าราชการพลเรือนชั้นผู้ใหญ่ และคหบดี ๑๔ นาย และบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเหล่านี้เป็นบุคคลชนิดไหน ? อย่างไร ? ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้แล้ว เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ประภาส จารุเสถียร และจอมพลต้นตระกูลชุณหะวัณ (ผิน)
หลังจากตั้งผู้ที่ทรงเห็นสมควรเป็นสมาชิกประเภทที่ ๒ จำนวน ๑๒๑ คนแล้ว ก็เริ่มทำหน้าที่ตามเงื่อนไข (ค) คือสภาผู้แทนราษฎรและเปิดประชุมเพื่อเลือกตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรตามพระราชกฤษฎีกาลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๐ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โดย
พลเอก สุทธิ์ สุทธิสารรณกร เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
พลโท ปรุง รังสิยานนท์ เป็นรองประธานคนที่ ๑
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นรองประธานคนที่ ๒
และในวันเดียวกันนั้น ประธานสภาฯ ได้เชิญสมาชิกสภาฯ ไปประชุมหารือเป็นการภายใน ณ หอประชุมกองทัพบก เพื่อเฟ้นหาตัวบุคคลที่สมควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี และที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ตามคำชี้แนะให้นายพจน์ สารสินเป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๐๐ ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้นายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีโดย พลเอก สุทธิ์ สุทธิสรรณกร เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และในวันเดียวกันนั้นเองได้โปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี
โดยที่การทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครั้งนี้ไม่ได้ประกาศฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ หากให้คงใช้ต่อไป โดยมีเงื่อนไขตามพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๐๐ ดังนี้
“..(ก) ให้สมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนราษฎรของสมาชิกประเภทที่ ๑ และสมาชิกประเภทที่ ๒ สิ้นสุดลงในวันประกาศพระบรมราชโองการนี้
(ข)ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ ๑ ภายในเก้าสิบวัน นับตั้งแต่วันประกาศพระบรมราชโองการนี้
(ค)จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ ๒ จากบุคคลซึ่งทรงเห็นสมควร มีจำนวนไม่เกิน ๑๒๓ คน ในวันและภายหลังวันประกาศพระบรมราชโองการนี้
ในระหว่างที่สมาชิกประเภทที่ ๑ ยังไม่ได้รับหน้าที่ ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกประเภทที่ ๒ ไปพลางก่อน
(ง)ก่อนที่จะได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นหน้าที่ของผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ...
พระบรมราชโองการฉบับนี้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และต่อมาได้แต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ ๒ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๐๐ จากบุคคลที่เห็นสมควร โดยเป็นบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้วางพระทัย จึงทรงเห็นสมควรแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ จำนวน ๑๒๑ นาย ในจำนวนนี้ เป็นทหารบก ๗๓ นาย เป็นทหารเรือ ๑๕ นาย เป็นทหารอากาศ ๑๖ นาย เป็นตำรวจ ๓ นาย นอกนั้นเป็นข้าราชการพลเรือนชั้นผู้ใหญ่ และคหบดี ๑๔ นาย และบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเหล่านี้เป็นบุคคลชนิดไหน ? อย่างไร ? ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้แล้ว เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ประภาส จารุเสถียร และจอมพลต้นตระกูลชุณหะวัณ (ผิน)
หลังจากตั้งผู้ที่ทรงเห็นสมควรเป็นสมาชิกประเภทที่ ๒ จำนวน ๑๒๑ คนแล้ว ก็เริ่มทำหน้าที่ตามเงื่อนไข (ค) คือสภาผู้แทนราษฎรและเปิดประชุมเพื่อเลือกตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรตามพระราชกฤษฎีกาลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๐ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โดย
พลเอก สุทธิ์ สุทธิสารรณกร เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
พลโท ปรุง รังสิยานนท์ เป็นรองประธานคนที่ ๑
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นรองประธานคนที่ ๒
และในวันเดียวกันนั้น ประธานสภาฯ ได้เชิญสมาชิกสภาฯ ไปประชุมหารือเป็นการภายใน ณ หอประชุมกองทัพบก เพื่อเฟ้นหาตัวบุคคลที่สมควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี และที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ตามคำชี้แนะให้นายพจน์ สารสินเป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๐๐ ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้นายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีโดย พลเอก สุทธิ์ สุทธิสรรณกร เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และในวันเดียวกันนั้นเองได้โปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี
No comments:
Post a Comment