Wednesday, February 25, 2009

บทความที่๔๔๒.ลัทธิสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ล้าสมัยและล่มสลาย?(๑)

 ลัทธิสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ล้าสมัยและล่มสลาย?
(จากหนังสือของคุณสุพจน์ ด่านตระกูล ปี 2541)

   ลัทธิสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ล้าสมัยและล่มสลาย? เป็นเรื่องเก่าที่ผมเคยพิมพ์ออกมาเผยแพร่ในรูปของแผ่นใบปลิวเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๓๕ เพื่อทำความเข้าใจในควาไม่เข้าใจของบางคน ที่หลงเข้าใจว่าลัทธิสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ล้าสมัยและล่มสลายตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสหภาพโซเวียตและในยุโรปตะวันออก แล้วมาสรุปเอาเองอย่างง่ายๆ ว่า ลัทธิสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ล้าสมัยและล่มสลายไปแล้ว เช่นเดียวกับสถานะของสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออกที่ล่มสลายไปแล้ว

   ถ้าคนที่สรุปความเห็นอย่างง่ายๆ เช่นนี้เป็นพวกอนุรักษ์นิยมหรือพวกปฏิกิริยาก็ไม่น่าจะแปลกใจ แต่ทว่าการสรุปความเห็นอย่างง่ายๆเช่นนี้มาจากพวกหัวก้าวหน้า ทั้งที่สังกัดอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และทั้งพวกที่เคยใกล้ชิดกับกลิ่นอายของ พคท. นี่ซิ เป็นเรื่องที่น่าสังเวช แลไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงป่าแตก ผมจึงได้เขียนเรื่องนี้และจัดพิมพ์เป็นแผ่นปลิวออกเผยแพร่โดยวิธีถ่ายอัดสำเนาดังกล่าวข้างต้น

   แต่บัดนี้ความเข้าใจผิดดังกล่าวนี้ก็ยังคงอยู่ในหัวสมองของบรรดาบุคคลเหล่านั้น และใช่แต่เท่านั้น บางคนที่เป็นนักวิชาการยังได้ขยายความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนี้ให้กว้างขวางออกไปในหมู่ประชาชน ด้วยการเสนอแนะชี้ทางออกของสังคมไทยที่กำลังประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่ในเวลานี้ ให้เป็นความหวังใหม่หรือทางเลือกใหม่ของประชาชน...

   ในที่สุดความพยายามของประเทศทุนนิยมที่มีจักรวรรดินิยมอเมริกาเป็นหัวโจก ต่อการล้มล้างประเทศสังคมนิยมที่มีสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยมเป็นแกนกลางก็ประสบความสำเร็จลงได้ระดับหนึ่งและระดับหนึ่งเท่านั้น(เพราะยังมีประเทศสังคมนิยมบางประเทศที่ประกาศยืนหยัดจุดมั่นอย่างแน่วแน่ ที่จะเดินตามแนวทางของลัทธิสังคมนิยมและคอมมิวนิสม์ต่อไป)

   ธงฆ้อนเคียวของสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยมถูกชักลงจากเสา ณ สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ และพร้อมกับที่ถูกลบชื่อออกจากสมาชิกภาพแห่งองค์การนั้น โดยมีประเทศสหพันธรัฐรัสเซียเข้าสวมที่นั่งแทน

   สถานเอกอัครราชทูตแห่งประเทศสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยมที่ประจำอยู่ในนานาประเทศทั่วโลก รวมทั้งที่ตั้งอยู่ ณ คฤหาสน์เลขที่ ๑๐๘ ถนนสาธรเหนือ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ถูกแปรเปลี่ยนเป็นสถานเอกอัครรัฐทูตแห่งสหพันธ์รัฐรัสเซีย ธงชาติ แดง,น้ำเงิน,ขาว ของพระเจ้าซาร์ที่ลงหลุมฝังศพไปแล้วพร้อมกับระบบซาร์ ได้ถูกขุดค้ยขึ้นมาและชักขึ้นสู่ยอดเสาแทนที่ธงชาติพื้นแดงประดับด้วยฆ้อนเคียว อันเป็นธงสัญลักษณ์ของประชาชนผู้ออกแรงงานรังสรรค์สังคม

   จักรวรรดิ์นิยมอเมริกา ถึงแม้ว่าจะมีบทบาทในการทำลายล้างสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยมในครั้งนี้ และซึ่งได้พยายามมาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๑๗ ตั้งแต่การเกิดขึ้นในโลกเป็นครั้งแรกของประเทศสังคมนิยมก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้ขาดในการล่มสลายของประเทศสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยม และรวมทั้งการล่มสลายของบรรดาประเทศสังคมนิยมอื่นๆในยุโรปตะวันออกก่อนหน้านี้

   หากตัวการสำคัญและเป็นตัวชี้ขาดในการยังความล่มสลายให้กับสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยม และรวมทั้งบรรดาประเทศสังคมนิยมอื่นๆ ในยุโรปตะวันออก ก็คือพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศเหล่านั้นนั่นเองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นแกนกลางก็เข้าทำนองคำพังเพยของไทยที่ว่า สนิมเหล็กเกิดจากเนื้อในเหล็ก

   ดังนั้นความรับผิดชอบในการล่มสลายของสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยม ก็คือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ก็คือบรรดามวลสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ที่เลือกนายกอร์บาชอฟขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค เปิดโอกาสให้ใช้นโยบายเปเรสตรอยก้าและกลานอสต์ที่ปฏิกิริยา บ่อนทำลายความเป็นเอกภาพของสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยม บ่อนทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมนิยมแล้วก็ติดตามมาด้วยนโยบายต่างประเทศของนายเชวาร์ดนัดเซที่ทรยศต่อหลักการลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน ทำให้ค่ายสังคมนิยมอ่อนแอลง

   การล่มสลายของสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยมครั้งนี้ บรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ที่ยึดถือระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและระบอบปกครองเผด็จการธนาธิปไตย ได้กล่าวยกย่องนายกอร์บาชอฟว่า เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะต้องได้รับการจารึกชื่อและผลงานไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้ยุติสงครามเย็นและสร้างกระแสสันติภาพให้แผ่ขยายไปทั่วโลก

   แต่สำหรับชาวสหภาพโซเวียตทั้งมวล ซึ่งหมายถึงมหาชนทั่วทั้ง ๑๕ สาธารณรัฐ แม้วันนี้พวกเขาเหล่านั้นบางส่วนจะยังมึนงงอยู่ แต่ในวันข้างหน้าอันไม่นานนัก พวกเขาจะเข้าใจเช่นเดียวกับที่ชาวสหพันธรัฐรัสเซียส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ที่เข้าใจถูกต้องว่ากอร์บาชอฟคือผู้ทำลาย คือผู้ยังความแตกสลายให้กับสภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยม คือผู้ยังความทุกข์ยากลำเค็ญให้กับมวลมหาประชาชน คือผู้ทรยศต่อบรรพชนผู้สร้างประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ให้กับสหภาพโซเวียตและมวลมนุษยชาติ และประวัติศาสตร์มนุษยชาติจะต้องจารึกชื่อเขาลงไว้บนหนังหมาในฐานะลูกหลานจัญไร คนอย่างนี้ถ้าจะยังมีความสำนึกอยู่บ้างก็ควรฆ่าตัวตายได้แล้ว

   เรามาพิจารณาคำยกย่องสรรเสริญของบรรดาผู้นำโลกทุนนิยม ที่มีต่อกอร์บาชอฟใน ๒ ประเด็นข้างต้น คือ

   ประเด็นแรก กอร์บาชอฟเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ประเด็นนี้เราขอไม่ออกความเห็น แต่ใคร่จะให้ข้อสังเกตไว้ว่า คนที่ศัตรูถึงกับชมเชยยกย่องนั้นย่อมจะยังประโยชน์และความพอใจให้แก่ศัตรูอย่างแน่นอน และคนที่ยังประโยชน์ความพอใจให้แก่ศัตรู คือผู้นำที่ยิ่งใหญ่หรือคนถ่อยสถุลที่ทรยศต่อประเทศชาติ ก็ขอให้พิจารณากันเอาเอง

   ประเด็นที่สอง กอร์บาชอฟเป็นผู้ยุติสงครามเย็น และสร้างกระแสสันติภาพให้แผ่ขยายไปทั่วโลก ใช่,กอร์บาชอฟยุติสงครามเย็น ด้วยการทรยศต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและมวลมนุษยชาติ ด้วยการล่มสลายของสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตสังคมนิยม แต่ใครเล่าเป็นผู้ก่อสงครามเย็นขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่เราผู้เป็นมนุษย์ไม่ใช่ควาย จะต้องพึงพิจารณาหาความจริงจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายสังคมนิยมและทุนนิยม หรือทั้งฝ่ายสหภาพโซเวียตและจักรวรรดินิยมอเมริกา

   ความเป็นมาของสิ่งที่เรียกว่าสงครามเย็น เกิดขึ้นและเริ่มแรกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุด โดยแผนการมาร์แชลของจักรวรรดินิยมอเมริกาที่ทุ่มความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเข้าไปในยุโรป เพื่อสกัดกั้นการขยายตัวเพิ่มขึ้นของประเทศคอมมิวนิสต์ หลังจากที่ประเทศในยุโรปตะวันออกได้เปลี่ยนระบอบการปกครองและระบบเศรษฐกิจไปเป็นเผด็จการกรรมาชีพและสังคมนิยม

   ในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและระบบเศรษฐกิจของบรรดาประเทศยุโรปตะวันออกนั้น ก็เนื่องมาจากการต่อสู้กู้ชาติของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศนั้นๆ ที่ต่อสู้กับการเข้ายึดครองของเยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายนายทุนยอมสยบให้กับเยอรมันและเป็นรัฐบาลหุ่นให้กับผู้ยึดครอง บรรดาพรรคคอมมิวนิสต์เหล่านั้นได้ร่วมมือกับสัมพันธมิตร โดยเฉพาะสหภาพโซเวียตที่มีจอมพล สตาลินเป็นผู้นำในขณะนั้น

   ดังนั้น เมื่อภายหลังที่เยอรมันผู้รุกรานได้ถูกกวาดล้างออกไปจากดินแดนของประเทศเหล่านั้นแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศเหล่านั้นซึ่งเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชนที่แท้จริง จึงมีความชอบธรรมที่จะเข้าบริหารประเทศและนำพาประเทศไปตามอุดมการณ์ของพรรคนั้น ด้วยความสนับสนุนของประชาชน

   จะเห็นได้ว่าการเข้ามามีอำนาจรัฐของบรรดาพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกนั้น ไม่ใช่เป็นการเข้าครอบครองของสหภาพโซเวียตดังที่ฝ่ายตะวันตกกล่าวหา แต่เป็นการเข้ามามีอำนาจรัฐของพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศนั้นๆ จากชัยชนะของการต่อสู้ปกป้องปิตุภูมิให้รอดพ้นจากการยึดครองของนาซีเยอรมัน นั่นเอง

   แต่ก็แน่ละ ทั้งนี้ก็ด้วยการหนุนช่วยในบางปัจจัยจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ในฐานะพรรคพี่พรรคน้องตามหลักการสากลชนชั้นกรรมาชีพ ที่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน

No comments: