Monday, November 3, 2008

บทความที่๔๒๖.รบทำไมและรบเพื่อใคร? ตอนที่๔

ตอนที่ ๔

จากพระราชนิพนธ์ที่ยกมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่าสงครามในยุคศักดินานั้น ล้วนแต่เป็นสงครามเพื่อสนองตัณหาหรือความทะยานอยากของกษัตริย์และเจ้าศักดินาทั้งหลาย การตีชิงปล้นสดมภ์และเอาประเทศที่อ่อนแอกว่าเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิ์ศักดินานั้น ก็เป็นผลประโยชน์เฉพาะตัวของเจ้าศักดินาใหญ่และสมุนบริวารที่เป็นชนชั้นกดขี่ขูดรีดด้วยกันเท่านั้น ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ของสังคม ที่เรียกว่า พวกไพร่ อันเป็นชนชั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีด ที่ถูกเกณฑ์บังคับให้ไปทำศึกสงครามตีบ้านเมืองต่างๆนั้น หาได้รับผลประโยชน์อะไรจากสงครามอันหฤโหดครั้งนั้นไม่ นอกจากความตายหรือทุพพลภาพ เมื่อเสร็จศึกสงครามแล้วหรือเมื่อได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทหารแล้ว พวกเขาก็ต้องกลับไปรับใช้เจ้าขุนมูลนายในงานกสิกรรมหรือหัตถกรรม ให้เจ้าขุนมูลนายกดขี่ขูดรีดเช่นเดิม ก็เช่นเดียวกับพวกทาสในยุคครองทาสนั้นแหละ

 

แต่จากการคลี่คลายขยายตัวทางเศรษฐกิจ ได้ก่อให้เกิดนายทุนสมัยใหม่(กฎุมพี)ขึ้นจำนวนหนึ่ง และวิถีทางเศรษฐกิจของนายทุนสมัยใหม่นี้ เป็นปฏิปักษ์กับวิถีทางเศรษฐกิจระบบศักดินา ทั้งนี้เนื่องด้วยข้อจำกัดสิทธิต่างๆ ของระบบศักดินาได้เหนี่ยวรั้งขัดขวางการขยายตัวของการผลิตแบบนายทุนสมัยใหม่ โดยเฉพาะนายทุนสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในอาณานิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกา เป็นครั้งแรก

 

พวกเขาได้ทำคำร้องทุกข์ถวายฎีกาต่อพระเจ้าแผ่นดินโดยแสดงไว้ในคำร้องทุกข์ว่า พวกเขาปฏิเสธการเสียภาษีและปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อบังคับอื่นๆ อีก ที่พวกเขาเห็นว่าไม่เป็นธรรม แต่วิธีการร้องทุกข์ดังกล่าวนั้น หาอำนวยความสำเร็จที่เป็นแก่นสารอันใดไม่

 

ดังนั้น พวกนายทุนสมัยใหม่จึงจำต้องหันเข้าหาวิธีการใช้กำลังเผชิญกำลัง และจำต้องปลุกเร้าประชาชนให้ขัดแข็งกับระบบศักดินา ขัดแข็งต่อการเก็บภาษีโดยพลการและการจำกัดสิทธิ์ในการค้าขาย ขัดแข็งต่อการจับกุมและลงโทษซึ่งตุลาการของระบบนั้นเป็นผู้ลงโทษ

 

พวกนายทุนสมัยใหม่ได้ใช้ความพยายามทุกอย่าง ในอันที่จะทำลายเครื่องกีดขวางต่างๆของสังคมศักดินา พวกเขาจำต้องดำเนินการรวบรวมกำลังเพื่อทำการอภิวัฒน์โดยใช้กำลังอาวุธ จำต้องนำประชาชนให้จับอาวุธขึ้นขัดแข็งกับกษัตริย์และระบบการกดขี่ที่มีอยู่ในเวลานั้น จำต้องทำให้เหล่าผู้ปกครองศักดินาต้องปราชัยโดยวิธีการทหาร ต่อเมื่อได้จัดการให้ชนชั้นสูงที่ถืออำนาจปกครองอยู่ในเวลานั้นปราชัยลงได้แล้ว จึงจะเป็นการอยู่ในวิสัยที่ชนชั้นนายทุนสมัยใหม่จะได้เปลี่ยนฐานะเป็นชนชั้นปกครอง และจึงจะสามารถทำลายเครื่องกีดขวางต่างๆที่ระบบศักดินาได้ตั้งตรึงไว้ อันเป็นการกีดกั้นมิให้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้คลี่คลายขยายตัว

No comments: