คัดลอกจากหนังสือ "คำร้องเพื่อขอให้มีการสอบสวนสถานการณ์เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในราชอาณาจักรไทย" ในนามแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ต่อสำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔
ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ “คนเสื้อแดง” จากแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ร่วมการชุมนุมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ เพื่อต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๔๙ ที่ได้ปลดนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้องออกจากตำแหน่ง และริดรอนสิทธิคนไทยหลายล้านคน ตลอดช่วงสองเดือนหลังจากนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงปักหลักกำบังตัวอยู่หลังแนวค่ายที่สร้างขึ้นในพื้นที่ยุทธศาสตร์และมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในใจกลางกรุงเทพฯ พวกเขาเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่และให้ยุบรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ซึ่งคนเสื้อแดงเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่ผิดกฎหมายและได้รับการหนุนหลังจากทหาร
ในการรับมือกับการชุมนุม กองทัพไทยภายใต้การชี้นำและการอนุมัติของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์และคนอื่นๆในรัฐบาล ได้เข่นฆ่าพลเรือนกว่า ๘๐ คนและทำให้อีกสองพันกว่าคนได้รับบาดเจ็บ รวมถึงนักข่าวที่บันทึกเหตุการณ์และอาสาสมัครหน่วยกู้ชีพที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย
คำร้องนี้เสนอต่ออัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court-ICC) เพื่อขอให้ดำเนินการสืบสวนเบื้องต้นกรณีสถานการณ์ในประเทศไทย ศาลอาญาระหว่างประเทศมีเขตอำนาจในการสืบสวนสถานการณ์ในประเทศหากมีการส่งเรื่องจากสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามมาตรา ๑๓(ข) ของธรรมนูญกรุงโรม นอกจากนี้ ศาลฯยังอาจมีเขตอำนาจเหนือตัวบุคคลในกรณีนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามมาตรา ๑๒.๒ข ของธรรมนูญกรุงโรม เนื่องจากเขาถือสัญชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นรัฐภาคของศาลอาญาระหว่างประเทศ
คำร้องนี้มีหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า มีมูลมากพอให้เชื่อได้ว่ามีอาชญกรรมระหว่างประเทศภายในเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ ต่อไปนี้เกิดขึ้นในการปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงคือ ๑)การฆาตกรรม ๒)การกักขังและการพรากเสรีภาพทางกายอย่างรุนแรง ๓)การกระทำไร้มนุษยธรรมอื่นๆและ ๔)การประหัตประหาร ผู้นำทางทหารและทางการเมืองของไทยรวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความผิดทางอาญาจากการกระทำที่ได้กล่าวมา
หลักฐานที่นำเสนอในคำร้องนี้มีการรวบรวมข้อมูลที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ของกองทัพไทยซึ่งยังปฏิบัติหน้าที่อยู่จำนวนหนึ่ง เกี่ยวกับการวางแผนและการปฏิบัติการตอบโต้ทางการทหารต่อกลุ่มคนเสื้อแดง คนเหล่านี้ให้การแบบกลุ่มภายใต้ชื่อ พยานที่ไม่เปิดเผยชื่อ ลำดับที่ ๒๒ ว่า
*กลุ่มอำนาจเก่าของไทยตระหนักว่าผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จะลุกขึ้นประท้วงการทำลายหลักการประชาธิปไตย และการออกนโยบายปราบปรามการประท้วงด้วยการใช้กำลังทางทหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อการทำลายขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย
*นโยบายนี้ส่วนหนึ่งมีการใช้ยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์อย่างเข้มข้นเพื่อสร้างความเข้าใจผิดๆว่าคนเสื้อแดงใช้ความรุนแรงและควรถูกปราบปรามไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ยุทธศาสตร์นี้รวมถึง ๑)การทำลายและ/หรือการปกปิดหลักฐานที่จะทำให้กองทัพและรัฐบาลไทยต้องรับผิดทางอาญา ๒)การสร้าง “หลักฐาน” เพื่อป้ายความผิดให้คนเสื้อแดง ๓)การแอบใช้อาวุธ รวมถึงพลซุ่มยิงและวัตถุระเบิดโดยสร้างภาพว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อความรุนแรง และ ๔)การโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อเพื่อสร้างภาพว่าคนเสื้อแดงใช้ความรุนแรง เป็นอันตราย และเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์
*ปฏิบัติการปราบปรามของทหารเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ช่วงแรก ไม่ได้เป็นไปเพื่อสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงบนถนนราชดำเนิน(สะพานผ่านฟ้า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และสี่แยกคอกวัว) ตามที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน แต่เพื่อไล่ต้อนผู้ชุมนุมเข้าไปอยู่ในบริเวณจำกัดที่สะพานผ่านฟ้า สร้างความโกลาหลขึ้น และเพื่อลอบสังหารแกนนำคนเสื้อแดงบนเวที ในส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนี้ ทหารใช้กลุ่มพลซุ่มยิงมืออาชีพมากกว่า ๑๕๐ นายจากหลายหน่วยในกองทัพ โดยพลซุ่มยิงเหล่านี้กระจายตัวไปยิงผู้ชุมนุมจากดาดฟ้าอาคารโดยใช้กระสุนที่มีความแรงต่ำเพื่อเป็นการยั่วยุ แผนนี้ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากกองทหารม้าที่ ๙ ติดอยู่บนสะพานปิ่นเกล้า และไม่สามารถกดดันผู้ชุมนุมจากฝั่งทางทิศตะวันตกได้
*ทหารได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง และโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้ใช้ทหารเสือราชินีจากกองพลทหารราบที่ ๒ ภายใต้การบัญชาการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำเนินการปราบปรามในเวลากลางคืน หน่วยทหารได้เข้าประจำตำแหน่งประจันหน้ากับกลุ่มคนเสื้อแดงในบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและสี่แยกคอกวัว และมีการตรึงกำลังกันอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง ทหารได้ยิงกระสุนจริงขึ้นเหนือศีรษะผู้ชุมนุม และมีการใช้ปืนกล .๕๐ แคลิเบอร์ไปพร้อมๆกับการยิงกระสุนจริงเข้าใส่ผู้ชุมนุมโดยตรงเป็นช่วงๆ เพื่อพยายามยั่วยุผู้ชุมนุมให้กระทำการตอบโต้ เพื่อสร้างภาพว่าทหารมีความจำเป็นต้องปกป้องตนเอง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
*เมื่อเวลาประมาณ ๑๙.๔๕ น. เกิดเหตุระเบิดสองครั้งใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทำให้ทหารมีข้ออ้างในการยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยไม่ยั้ง ทหารที่อยู่บริเวณสี่แยกคอกวัวก็เปิดฉากยิงโดยไม่ยั้งเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้มีการระเบิดเกิดขึ้นในบริเวณนั้นก็ตาม
*หลังจากปฏิบัติการทางการทหารในถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ไม่สามารถทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงยุติได้ ทหารก็หันไปพยายามปราบปรามการชุมนุมที่ไปรวมอยู่ที่แยกราชประสงค์แทน โดยวางแผนที่จะกั้นเขตแดนบริเวณรอบๆ แยกราชประสงค์เพื่อกันคนเข้าออก จากนั้นก็ฝ่าแนวกั้นของคนเสื้อแดงเข้าไปแล้วลอบสังหารแกนนำ
*ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๙ พฤษภาคม กองทัได้ส่งทหารจากกองพลทหารม้าที่ ๒ และกองพลทหารราบที่ ๑ ไปปิดกั้นบริเวณบ่อนไก่ ทางตอนใต้ของราชประสงค์ และบริเวณดินแดงและราชปรารภทางตอนเหนือของราชประสงค์ แม้ว่าคำสั่งทางการจะสั่งให้ยิงเป้าที่กระทำการคุกคามเท่านั้น แต่คำสั่งแท้จริงที่สั่งไปยังเจ้าหน้าที่ระดับบังคับบัญชานั้น เป็นคำสั่งที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ให้ ๑)ยิงเป้าเคลื่อนที่ทุกคน ไม่ว่าจะมีระดับการคุกคามเท่าใด ๒)ป้องกันไม่ให้มีหลักฐานทางภาพถ่ายหรือวีดีโอ และ ๓)ป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายศพ
*คำสั่งเหล่านี้ทำให้ทหารพุ่งเป้าไปยังนักข่าวในบริเวณบ่อนไก่ ดินแดง และราชปรารภ และยังพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
*กองทัพไทยได้ฝ่าแนวกั้นของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม โดยมีคำสั่งให้ ๑)สังหารแกนนำคนเสื้อแดง ๒)ยิงใครก็ตามที่ต้องสงสัยว่ามีอาวุธ โดยไม่ต้องตรวจสอบก่อนว่าคนนั้นมีอาวุธจริงหรือไม่ ๓)ถือว่าคนที่ถือหนังสติ๊กเป็นคนติดอาวุธและเป็นอันตราย และ ๔)ยิงการ์ดคนเสื้อแดงทุกคน รวมถึงคนที่ไม่ได้ถืออาวุธด้วย แกนนำคนเสื้อแดงได้ข่าวเกี่ยวกับคำสั่งเช่นนี้ล่วงหน้า จึงยอมมอบตัวก่อนที่ทหารจะเข้าไปฆ่าตนได้
*คำสั่งเหล่านี้แปลว่าทหารสามารถฆ่าใครก็ได้ตามใจในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม และเป็นการอนุญาตให้มีการยิงสังหารที่วัดปทุมวนารามในเย็นวันนั้นด้วย
*เหตุเพลิงไหม้ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์นั้นถูกก่อขึ้นโดยมือลอบวางเพลิงที่ทางกองทัพได้ว่าจ้างมาหลายสัปดาห์ก่อนหน้าเหตุการณ์ ปฏิบัติการนี้มีขึ้นเพื่อฝังความเชื่อในใจของประชาชนทั่วไปว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงนั้นรุนแรงและเป็นอันตราย และเพื่อสร้างความเข้าใจว่าการกระทำของทหารชอบธรรมแล้ว คนเสื้อแดงไม่ได้เป็นผู้วางเพลิงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์
*หลังการชุมนุมสิ้นสุดลง มีคนจากกองทัพรวบรวมเอาปืนไรเฟิลเอเค-๔๗ และวัตถุระเบิดไปไว้ในวัดปทุมวนารามและสวนลุมพินี เพื่อจัดฉากว่าเป็นอาวุธของคนเสื้อแดง
ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ “คนเสื้อแดง” จากแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ร่วมการชุมนุมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ เพื่อต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๔๙ ที่ได้ปลดนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้องออกจากตำแหน่ง และริดรอนสิทธิคนไทยหลายล้านคน ตลอดช่วงสองเดือนหลังจากนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงปักหลักกำบังตัวอยู่หลังแนวค่ายที่สร้างขึ้นในพื้นที่ยุทธศาสตร์และมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในใจกลางกรุงเทพฯ พวกเขาเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่และให้ยุบรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ซึ่งคนเสื้อแดงเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่ผิดกฎหมายและได้รับการหนุนหลังจากทหาร
ในการรับมือกับการชุมนุม กองทัพไทยภายใต้การชี้นำและการอนุมัติของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์และคนอื่นๆในรัฐบาล ได้เข่นฆ่าพลเรือนกว่า ๘๐ คนและทำให้อีกสองพันกว่าคนได้รับบาดเจ็บ รวมถึงนักข่าวที่บันทึกเหตุการณ์และอาสาสมัครหน่วยกู้ชีพที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย
คำร้องนี้เสนอต่ออัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court-ICC) เพื่อขอให้ดำเนินการสืบสวนเบื้องต้นกรณีสถานการณ์ในประเทศไทย ศาลอาญาระหว่างประเทศมีเขตอำนาจในการสืบสวนสถานการณ์ในประเทศหากมีการส่งเรื่องจากสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามมาตรา ๑๓(ข) ของธรรมนูญกรุงโรม นอกจากนี้ ศาลฯยังอาจมีเขตอำนาจเหนือตัวบุคคลในกรณีนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามมาตรา ๑๒.๒ข ของธรรมนูญกรุงโรม เนื่องจากเขาถือสัญชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นรัฐภาคของศาลอาญาระหว่างประเทศ
คำร้องนี้มีหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า มีมูลมากพอให้เชื่อได้ว่ามีอาชญกรรมระหว่างประเทศภายในเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ ต่อไปนี้เกิดขึ้นในการปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงคือ ๑)การฆาตกรรม ๒)การกักขังและการพรากเสรีภาพทางกายอย่างรุนแรง ๓)การกระทำไร้มนุษยธรรมอื่นๆและ ๔)การประหัตประหาร ผู้นำทางทหารและทางการเมืองของไทยรวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความผิดทางอาญาจากการกระทำที่ได้กล่าวมา
หลักฐานที่นำเสนอในคำร้องนี้มีการรวบรวมข้อมูลที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ของกองทัพไทยซึ่งยังปฏิบัติหน้าที่อยู่จำนวนหนึ่ง เกี่ยวกับการวางแผนและการปฏิบัติการตอบโต้ทางการทหารต่อกลุ่มคนเสื้อแดง คนเหล่านี้ให้การแบบกลุ่มภายใต้ชื่อ พยานที่ไม่เปิดเผยชื่อ ลำดับที่ ๒๒ ว่า
*กลุ่มอำนาจเก่าของไทยตระหนักว่าผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จะลุกขึ้นประท้วงการทำลายหลักการประชาธิปไตย และการออกนโยบายปราบปรามการประท้วงด้วยการใช้กำลังทางทหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อการทำลายขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย
*นโยบายนี้ส่วนหนึ่งมีการใช้ยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์อย่างเข้มข้นเพื่อสร้างความเข้าใจผิดๆว่าคนเสื้อแดงใช้ความรุนแรงและควรถูกปราบปรามไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ยุทธศาสตร์นี้รวมถึง ๑)การทำลายและ/หรือการปกปิดหลักฐานที่จะทำให้กองทัพและรัฐบาลไทยต้องรับผิดทางอาญา ๒)การสร้าง “หลักฐาน” เพื่อป้ายความผิดให้คนเสื้อแดง ๓)การแอบใช้อาวุธ รวมถึงพลซุ่มยิงและวัตถุระเบิดโดยสร้างภาพว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อความรุนแรง และ ๔)การโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อเพื่อสร้างภาพว่าคนเสื้อแดงใช้ความรุนแรง เป็นอันตราย และเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์
*ปฏิบัติการปราบปรามของทหารเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ช่วงแรก ไม่ได้เป็นไปเพื่อสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงบนถนนราชดำเนิน(สะพานผ่านฟ้า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และสี่แยกคอกวัว) ตามที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน แต่เพื่อไล่ต้อนผู้ชุมนุมเข้าไปอยู่ในบริเวณจำกัดที่สะพานผ่านฟ้า สร้างความโกลาหลขึ้น และเพื่อลอบสังหารแกนนำคนเสื้อแดงบนเวที ในส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนี้ ทหารใช้กลุ่มพลซุ่มยิงมืออาชีพมากกว่า ๑๕๐ นายจากหลายหน่วยในกองทัพ โดยพลซุ่มยิงเหล่านี้กระจายตัวไปยิงผู้ชุมนุมจากดาดฟ้าอาคารโดยใช้กระสุนที่มีความแรงต่ำเพื่อเป็นการยั่วยุ แผนนี้ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากกองทหารม้าที่ ๙ ติดอยู่บนสะพานปิ่นเกล้า และไม่สามารถกดดันผู้ชุมนุมจากฝั่งทางทิศตะวันตกได้
*ทหารได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง และโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้ใช้ทหารเสือราชินีจากกองพลทหารราบที่ ๒ ภายใต้การบัญชาการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำเนินการปราบปรามในเวลากลางคืน หน่วยทหารได้เข้าประจำตำแหน่งประจันหน้ากับกลุ่มคนเสื้อแดงในบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและสี่แยกคอกวัว และมีการตรึงกำลังกันอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง ทหารได้ยิงกระสุนจริงขึ้นเหนือศีรษะผู้ชุมนุม และมีการใช้ปืนกล .๕๐ แคลิเบอร์ไปพร้อมๆกับการยิงกระสุนจริงเข้าใส่ผู้ชุมนุมโดยตรงเป็นช่วงๆ เพื่อพยายามยั่วยุผู้ชุมนุมให้กระทำการตอบโต้ เพื่อสร้างภาพว่าทหารมีความจำเป็นต้องปกป้องตนเอง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
*เมื่อเวลาประมาณ ๑๙.๔๕ น. เกิดเหตุระเบิดสองครั้งใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทำให้ทหารมีข้ออ้างในการยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยไม่ยั้ง ทหารที่อยู่บริเวณสี่แยกคอกวัวก็เปิดฉากยิงโดยไม่ยั้งเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้มีการระเบิดเกิดขึ้นในบริเวณนั้นก็ตาม
*หลังจากปฏิบัติการทางการทหารในถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ไม่สามารถทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงยุติได้ ทหารก็หันไปพยายามปราบปรามการชุมนุมที่ไปรวมอยู่ที่แยกราชประสงค์แทน โดยวางแผนที่จะกั้นเขตแดนบริเวณรอบๆ แยกราชประสงค์เพื่อกันคนเข้าออก จากนั้นก็ฝ่าแนวกั้นของคนเสื้อแดงเข้าไปแล้วลอบสังหารแกนนำ
*ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๙ พฤษภาคม กองทัได้ส่งทหารจากกองพลทหารม้าที่ ๒ และกองพลทหารราบที่ ๑ ไปปิดกั้นบริเวณบ่อนไก่ ทางตอนใต้ของราชประสงค์ และบริเวณดินแดงและราชปรารภทางตอนเหนือของราชประสงค์ แม้ว่าคำสั่งทางการจะสั่งให้ยิงเป้าที่กระทำการคุกคามเท่านั้น แต่คำสั่งแท้จริงที่สั่งไปยังเจ้าหน้าที่ระดับบังคับบัญชานั้น เป็นคำสั่งที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ให้ ๑)ยิงเป้าเคลื่อนที่ทุกคน ไม่ว่าจะมีระดับการคุกคามเท่าใด ๒)ป้องกันไม่ให้มีหลักฐานทางภาพถ่ายหรือวีดีโอ และ ๓)ป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายศพ
*คำสั่งเหล่านี้ทำให้ทหารพุ่งเป้าไปยังนักข่าวในบริเวณบ่อนไก่ ดินแดง และราชปรารภ และยังพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
*กองทัพไทยได้ฝ่าแนวกั้นของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม โดยมีคำสั่งให้ ๑)สังหารแกนนำคนเสื้อแดง ๒)ยิงใครก็ตามที่ต้องสงสัยว่ามีอาวุธ โดยไม่ต้องตรวจสอบก่อนว่าคนนั้นมีอาวุธจริงหรือไม่ ๓)ถือว่าคนที่ถือหนังสติ๊กเป็นคนติดอาวุธและเป็นอันตราย และ ๔)ยิงการ์ดคนเสื้อแดงทุกคน รวมถึงคนที่ไม่ได้ถืออาวุธด้วย แกนนำคนเสื้อแดงได้ข่าวเกี่ยวกับคำสั่งเช่นนี้ล่วงหน้า จึงยอมมอบตัวก่อนที่ทหารจะเข้าไปฆ่าตนได้
*คำสั่งเหล่านี้แปลว่าทหารสามารถฆ่าใครก็ได้ตามใจในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม และเป็นการอนุญาตให้มีการยิงสังหารที่วัดปทุมวนารามในเย็นวันนั้นด้วย
*เหตุเพลิงไหม้ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์นั้นถูกก่อขึ้นโดยมือลอบวางเพลิงที่ทางกองทัพได้ว่าจ้างมาหลายสัปดาห์ก่อนหน้าเหตุการณ์ ปฏิบัติการนี้มีขึ้นเพื่อฝังความเชื่อในใจของประชาชนทั่วไปว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงนั้นรุนแรงและเป็นอันตราย และเพื่อสร้างความเข้าใจว่าการกระทำของทหารชอบธรรมแล้ว คนเสื้อแดงไม่ได้เป็นผู้วางเพลิงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์
*หลังการชุมนุมสิ้นสุดลง มีคนจากกองทัพรวบรวมเอาปืนไรเฟิลเอเค-๔๗ และวัตถุระเบิดไปไว้ในวัดปทุมวนารามและสวนลุมพินี เพื่อจัดฉากว่าเป็นอาวุธของคนเสื้อแดง
No comments:
Post a Comment