Saturday, January 10, 2009

บทความที่๔๓๒. รำลึกถึงท่านข้าราชการรากหญ้า


ในห้วงเวลาแห่งการลุกขึ้นมาต่อสู้ของมวลประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะปกครองประเทศด้วยระบบเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ชายผู้นี้,ผู้ที่เราทั้งหลายได้รู้จัก สนิทสนมคุ้นเคยในแง่มุมต่างกันไป แต่มีคำบอกขานร่ำลือที่ตรงกันว่า ชายผู้นี้,ท่านข้าราชการรากหญ้า, เป็นผู้ที่รักในความยุติธรรม รักในความจริง เกลียดชังระบบกดขี่ ใส่ร้ายป้ายสี เขาจึงลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมกับมวลประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ และนั่นก็ทำให้ผมได้รู้จักเขาบนถนนแห่งการต่อสู้ที่ยังไม่จบลงในวันนี้

สิ่งที่ผมจดจำและรู้สึกผูกพันกับท่านผู้นี้ มันเริ่มในคืนวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ปีที่แผ่นดินไทยต้องมืดมิดอยู่ในเงื้อมมือของอำนาจเผด็จการ คมช. ในวันนั้นมวลประชาชนได้เคลื่อนไหวออกจากท้องสนามหลวงไปยังหน้าบ้านสี่เสาร์เทเวศร์ เพื่อกดดันประจาน ขับไล่ พ.อ.เปรม ติณสูรานนท์ นายหน้าของอำนาจระบบเก่าแก่-ระบบเผด็จการชนชั้น

คืนวันนั้น ผู้คนเริ่มทะยอยกันกลับหลังจากฝนซาเม็ดลง จึงเหลือผู้คนไม่มากเหมือนดั่งที่เคลื่อนมาจากสนามหลวง และเมื่อแกนนำประกาศผ่านลำโพงว่า ตำรวจปราบจราจลกำลังเตรียมการณ์ที่จะลงมือสลายการชุมนุมในเวลา ๒๓ น. ผู้คนก็ทยอยจากไปเรื่อยๆ และเมื่อเวลา ๒๓ น.มาถึงตำรวจพร้อมอุปกรณ์สลายการชุมนุมได้เคลื่อนตัวออกมาจากหลังกำแพงบ้านสี่เสาร์ ตั้งเป็นกำแพงสีกากีมหึมา ผู้คนทั้งหลายก็ตั้งเป็นกำแพงประชาชนพร้อมจะเข้าปะทะเมื่อสัญญาณการต่อสู้ดังขึ้น

ในความฉุกละหุกของสถานการณ์ในเวลานั้น ผมได้เห็นท่านผู้นี้,ท่านข้าราชการรากหญ้า, เราต่างดีใจที่ได้พบใบหน้าที่คุ้นเคยกันมาบ้าง กำลังใจของเราก็เพิ่มขึ้น แล้วเราก็อยู่ในท่ามกลางวงของการปะทะต่อสู้

ในระหว่างพักยกของการต่อสู้ เราต่างหากที่นั่งพักเหนื่อย ท่านข้าราชการรากหญ้าสบตาผมแล้วถามผมว่า "จะออกไปจากวงล้อมนี้ในช่วงเวลาที่ยังกลับออกไปได้,ไหม?" ผมจึงเอ่ยปากบอกว่า "พี่..กลับไปก่อนเถิดครับ สถานการณ์ยังไม่รู้ว่าจะรุนแรงขึ้นเพียงไร พี่น้องของเราก็ไม่อาจจะยกมาร่วมได้เพราะถูกกั้นไว้จากจุดอื่น ผมจะอยู่ดูสถานการณ์สักพักก่อน" ท่านข้าราชการรากหญ้าก็บอกแก่ผมว่า "พี่จะอยู่ดูอีกสักหน่อย" ผมเข้าใจความหมายนั้นจากสีหน้าของเขาได้ทันที แล้วเราก็เข้าใจความรู้สึกอันอัดแน่นในใจนี้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นเราก็พร้อมจะอยู่ร่วมชะตากรรมกับพี่น้องทั้งหลาย

ในคืนนั้น,ในที่สุดของการต่อสู้ ประชาชนถูกบังคับให้สลายการชุมนุมด้วยอาวุธแก๊สน้ำตาที่ยิงมาไม่ต่ำกว่า ๒-๓ ครั้ง, ผมดีใจที่เห็นคุณข้าราชการรากหญ้าได้หลบออกไปอย่างปลอดภัยไม่บอบช้ำ  เราได้อยู่ร่วมต่อสู้จนถึงที่สุดแล้วในวันนั้น...

เวลาก็ได้หมุนเวียนมาถึงกาลที่ประชาชนได้เคลื่อนไหวใหญ่ในคืนวันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๑ ผมได้พบกับคุณข้าราชการรากหญ้าในช่วงเวลาประมาณ ๑๖ น. พร้อมทั้งกลุ่มสมาชิกของเว็ปฟ้าใหม่ เวลาก็ผ่านไปจนถึงเวลาที่จะเคลื่อนที่จากสนามหลวงไปหน้ารัฐสภา

ในคืนวันนั้นเป็นคืนที่เขามีความสุขมาก เขายิ้มแย้มไปตลอดทาง ระยะทางถูกทำให้สั้นลงด้วยความรู้สึกฮึกเฮิมของมวลประชาชนเสื้อแดง และด้วยการปลุกกำลังใจจากแกนนำบนรถยักษ์ ตลอดระยะทางนั้นเราได้สนทนากันถึงสถานการณ์ อนาคต อุดมการณ์ ฯลฯ

และเมื่อเราผ่านพระบรมรูปทรงม้า มาจนถึงหัวโค้งถนนตรงข้ามพระที่นั่งอนันตสมาคม มวลมหาประชาชนสีแดงก็ต่างกระจายกันหาที่นั่ง เราได้นั่งลงบริเวณที่เหมาะควรตรงหนึ่ง เ ขาได้เอ่ย ระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๕๐ ว่าเราต่างก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นจากต้นจนจบ ผมก็ได้บอกกับเขาว่า

"ในคืนนั้นที่ผมไม่ออกไปจากวงล้อมของตำรวจ ไม่ใช่เพราะผมกล้าหาญอะไรหรอกครับ แต่เป็นเพราะผมไม่อาจทิ้งการต่อสู้ ทิ้งพี่น้องประชาชนทั้งหลายที่กำลังต่อสู้อยู่ หนีเอาตัวรอดไปแต่ผู้เดียวได้"

คุณข้าราชการรากหญ้ายิ้มอย่างเข้าใจในอุดมการณ์ของเราทั้งสอง เหมือนว่าคำพูดของผมนั้นจะบอกถึงสิ่งที่คุณข้าราชการรากหญ้าก็รู้สึกในเวลานั้นว่า "เราไม่อาจจะทิ้งพี่น้องที่กำลังต่อสู้ หนีไปแต่เพียงลำพังได้"

เวลาผ่านไปเกือบจะ ๒ นาฬิกา เราจึงย้ายไปนั่งรวมกับพี่น้องทั้งหลายที่กลางถนนอู่ทองใน อากาศจู่ๆก็เย็นลงอย่างทันที  คุณข้าราชการรากหญ้าเอื้อมมือหยิบเสื้อแจ๊กเก็ตสีแดงขึ้นคลุมศรีษะ ผมเข้าใจทันทีว่า เขา กำลังป้องกันความร้อนออกจากร่างกายทางศีรษะ ผมจึงส่งหมวกสีแดงให้ เขารับและสวมมันลงบนศรีษะเพราะเข้าใจถึงความปรารถนาดีนั้นของผม

เราสบตากันด้วยความเข้าใจตรงกันว่า ในคืนนี้ เวลานี้ ยังไม่มีการต่อสู้รุนแรงใดๆจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นภารกิจในคืนนี้ของเราก็ลุล่วงแล้ว เราจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปยังสามแยกอู่ทองใน เมื่อถึงสามแยก คุณข้าราชการรากหญ้าชี้มือไปทางซ้ายเพื่อบอกว่า 'จะไปทางนี้' ผมยิ้มและยกมือโบกร่ำลากัน....เป็นครั้งสุดท้าย

มือที่ผมยกโบกลาได้ลดลง พร้อมกับที่ร่างของเขาได้กลืนไปกับพี่น้องเสื้อแดงทั้งหลาย สำนึกล่วงหน้าลางอย่างได้ปรากฏเป็นความคิดขึ้นว่า การจากกันครั้งนี้เราจะไม่ได้กลับมาพบกันอีก

ในที่สุดนี้ แม้ว่าการต่อสู้ของเขา ท่านข้าราชการรากหญ้าและมวลประชาชนจะยังไม่จบสิ้น และประชาชนก็ยังไม่ได้รับชัยชนะที่มุ่งหมายคือสังคมที่ก้าวหน้า  แต่ผมขอให้ท่านข้าราชการได้วางใจ คลายความรู้สึกผูกพันในการต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้ลงเสีย ท่านได้ทำหน้าที่ของประชาชนอย่างสมบูรณ์ดีเยี่ยมแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ใครจะตำหนิในเรื่องนี้ได้เลย จิตใจของท่านกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวมากครับ

แต่ทว่า...ท่านได้พ้นจากความเป็นคนไทย ท่านเป็นอิสระแล้ว เป็นอิสรภาพอย่างสมบูรณ์ที่พ้นจากการกดขี่ ขูดรีด หลอกลวง ของระบบที่กำลังจะพังทะลายนี้แล้วครับ

ความทรงจำในการต่อสู้ร่วมกันมามันจะยังประทับอยู่ในความรู้สึกของผมไปตราบนานหรือจนกว่าผมจะจากโลกนี้ไป แต่สำหรับท่านข้าราชการรากหญ้านั้น ท่านต้องวางมันลงและไม่ยึดถือสิ่งใดๆที่ได้กระทำมา และไปสู่สุคติภพที่ประเสริฐยิ่งกว่าครับ ภพภูมิที่ประเสริฐ ปราณีต ยังรอท่านอยู่ครับ...ลาก่อนท่านข้าราชการรากหญ้า.

2 comments:

rita said...

ตามมาอ่านต่อค่ะ ๆ

Unknown said...

ภารดรอภิวัฒน์